ศรีไทยเมินค่าแรง 300 บาท เดินหน้าขยายโรงงาน 4 แห่งในอินเดีย และอินโดนีเซียแทน ฟุ้งปี 56 รายได้ทะลุ 10,000 ล้านบาท
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ว่านโยบายการปรับค่าแรง 300 บาทที่จะประกาศใช้พร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 ม.ค. 56 เป็นต้นไป สำหรับบริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะได้ปรับค่าแรงไปแล้วกว่า 1 ปีที่ผ่านมา รวมถึงหันมาใช้เครื่องจักรแทนแรงงานไทย และหันมาใช้แรงงานเพื่อนบ้านทดแทนอย่างลาว พม่า และกัมพูชา เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมุ่งขยายโรงงานไปในประเทศเพื่อนบ้านด้วย ล่าสุดได้มีการสร้างโรงงานผลิตพลาสติกแห่งใหม่ที่ประเทศเวียดนามภายใต้งบลงทุน 800 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องผลิตสินค้าได้ในเดือน ม.ค. 2556 ที่จะถึงนี้ จากเดิมบริษัทมีโรงงานผลิตพลาสติกในอินโดนีเซีย และโรงงานผลิตเมลามีนที่ประเทศจีนเพื่อรองรับการทำตลาดในประเทศนั้นๆ และตลาดการส่งออก นอกจากนี้บริษัทก็มีแผนที่จะใช้งบลงทุนประมาณ 150 ล้านบาทสร้างโรงงานผลิตเมลามีนในประเทศอินเดียบนพื้นที่ 5 ไร่เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในประเทศอินเดีย เนื่องจากบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปทำตลาดอย่างจริงจังมากขึ้น หลังจากที่โรงงานในเวียดนามเปิดดำเนินการ
“2 ปีที่ผ่านมาเราได้เข้าไปตั้งสำนักงานในประเทศอินเดียเรียบร้อยแล้วเพื่อดำเนินการขยายธุรกิจเมลามีนในอินเดียอย่างจริงจัง เพราะตลาดอินเดียน่าสนใจมาก และหลังจากปี 2556 เริ่มดำเนินการในส่วนของโรงงานเมลามีนแล้วเสร็จ จะดำเนินการสร้างโรงงานในส่วนของวัตถุดิบเพื่อป้อนให้โรงงานผลิตเมลามีนทันทีในปี 2557 หลังจากนั้นปี 2558 ก็จะสร้างโรงงานพลาสติกขึ้นมาทันทีเพื่อให้ธุรกิจในอินเดียมีความต่อเนื่อง และครบวงจร”
นอกจากนี้ ในประเทศอินโดนีเซียบริษัทยังมีแผนที่จะเข้าไปขยายโรงงานใหม่เพิ่มขึ้นอีก 1 แห่งที่เมืองจาการ์ตา ซึ่งจะเป็นโรงงานผลิตพลาสติก จากเดิมบริษัทมีโรงงานในประเทศอินโดนีเซียแล้วจำนวน 1 แห่งที่เมืองสุราบายา เป็นโรงงานผลิตเมลามีน โดยในส่วนของความคืบหน้าการสร้างโรงงานแห่งใหม่นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน ซึ่งบริษัทต้องการไม่ต่ำกว่า 20 ไร่เพื่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ในอีก 2 ปีข้างหน้า
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกและทำตลาดในต่างประเทศจำนวน 110 ประเทศอยู่ที่ประมาณ 27% ซึ่งตลาดหลักในการสร้างรายได้ยังคงเป็นกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ตามด้วยเอเชีย ยุโรป และอเมริกา โดยภายหลังจากที่บริษัทได้มีการเข้าไปตั้งโรงงานในต่างประเทศมากขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในต่างประเทศ คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีรายได้จากการส่งออกและทำตลาดในต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 50% และในประเทศไทยอีก 50%
นายสนั่นกล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมผลประกอบการของบริษัทในสิ้นปีนี้นั้นคาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 8,300 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 20-25% หรือจาก 6,994 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ว่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 7,800 ล้านบาท โดยในส่วนของปีหน้าคาดว่าจะมีรายได้เติบโตอยู่ที่ 9,500 ล้านบาท และมีโอกาสถึง 10,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะหันมารุกทำตลาดบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มมากขึ้น