ASTVผู้จัดการรายวัน - TUF หดเป้ายอดขายปีนี้โตแค่ 12% เหตุราคาวัตถุดิบพุ่งและโรงงานกุ้งไฟไหม้ มั่นใจปีหน้าทั้งยอดขายและกำไรโต 15% ทุ่มงบลงทุน 2 ปีข้างหน้ารวม 1.2 หมื่นล้านบาทตั้งโรงงานใหม่ 3 แห่งในสมุทรสาคร หวังดันยอดขายทะลุเป้า 5 พันล้านเหรียญในปี 58
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) (TUF) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ มียอดขายในรูปของเงินบาทโตเพียง 12% ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่เคยตั้งไว้ 15% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น และโรงงานผลิตกุ้งไฟไหม้ทำให้เสียโอกาสไป 2 เดือน แต่กำไรสุทธิในปี 2555 เชื่อว่าจะโต 13% ใกล้เคียงไตรมาส 3/2555 ส่วนปีหน้าบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายทั้งยอดขายรูปเงินสกุลเหรียญสหรัฐและกำไรสุทธิโตขึ้น 15% เนื่องจากโรงงานผลิตอาหารสัตว์ในสหรัฐฯ และ บมจ.แพ็คฟู้ดจะมีผลดำเนินงานดีขึ้นหลังจากปีนี้ประสบปัญหาขาดทุน
โดยปีนี้บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) 16% คาดว่าปีหน้าจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 17% อีกครั้ง โดยตั้งเป้าหมายในอนาคตจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% เนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งเร่งขยายแบรนด์สินค้าซีเลคและฟิชโชให้ครอบคลุมทุกประเทศในอาเซียน หลังจากทำตลาดที่ลาว กัมพูชา เวียดนาม และพม่า เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ส่วนฐานการผลิตในอาเซียนนั้น บริษัทฯ เล็งการลงทุนตั้งโรงงานในพม่า เพราะมั่นใจว่าจะบริหารจัดการแรงงานพม่าได้ แต่ทั้งนี้คงต้องรอกฎหมายการลงทุนพม่าให้มีความชัดเจนกว่านี้
สำหรับแผนการลงทุนใน 2 ปีข้างหน้า (2556-2557) ตั้งงบลงทุนไว้ปีละ 6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีก่อน โดยจะใช้ลงทุนตั้งโรงงานใหม่ 3 แห่งในจังหวัดสมุทรสาคร ได้แก่ โรงงานผลิตกุ้ง กำลังผลิต 6 หมื่นตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2557 โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ปลาแซลมอน 1.5 หมื่นตันต่อปี และโรงงานผลิตเบเกอรีและอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเพื่อดันยอดขายให้ได้ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2558
ส่วนการซื้อกิจการ (M&A) นั้นถือเป็นกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจหากพบว่ามีโอกาสก็พร้อมที่จะเข้าไปซื้อกิจการ โดยยอมรับว่าจากปัญหาวิกฤตยูโรโซน ทำให้มีโอกาสในการลงทุนซื้อกิจการในแทบทุกภูมิภาคทั้งสหรัฐฯ และยุโรป
นายธีรพงศ์กล่าวถึงกรณีที่ยุโรปจะตัดสิทธิจีเอสพีกุ้งไทยในต้นปี 2557 จะมีผลทำให้กำแพงภาษีนำเข้าสูงขึ้น แต่เชื่อว่าบริษัทฯ จะไม่ได้รับผลกระทบมากเนื่องจากบริษัทฯ จะหันไปเน้นการผลิตผลิตภัณฑ์กุ้งที่มีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งจะหันไปทำตลาดเอเชียและสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันยอดขายกุ้งในตลาดอียูคิดเป็น 2% ของยอดขายรวม
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2555 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,613 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,542 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1.41 บาท โดยมียอดขายในรูปของเงินบาทอยู่ที่ 28,327 ล้านบาท โตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.8% ส่วนยอดขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 907 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผลประกอบการงวด 9 เดือนบริษัทมีกำไรสุทธิรวม 4,081 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 2554 ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 3,586 ล้านบาท ส่วนยอดขายช่วง 9 เดือนในรูปเงินเหรียญสหรัฐอยู่ที่ 2,581 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.7% ขณะที่ยอดขายในรูปของเงินบาทอยู่ที่ 80,389 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
“ปีนี้เป็นอีกปีที่บริษัทสามารถทุบสถิติกำไรและยอดขาย โดยสร้างนิวไฮอีกครั้ง สะท้อนถึงประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง ธุรกิจในทุกส่วนเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับกำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้อยู่ที่ 15.7% แม้ว่าจะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบ 2% มาจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะราคาปลาทูน่ามีราคาเฉลี่ย 9 เดือนอยู่ที่ 2,168 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นถึง 26%”
โครงสร้างรายได้มาจากกลุ่มธุรกิจปลาทูน่า 50% กลุ่มธุรกิจกุ้งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกุ้ง 22% กลุ่มธุรกิจปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรล 6% กลุ่มธุรกิจปลาแซลมอน 4% กลุ่มธุรกิจอาหารแมว 7% และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์อื่นๆ 11%
นายธีรพงศ์กล่าวถึงการเปลี่ยนสัดส่วนการถือครองหุ้นในบริษัท อะแวนติ ฟีด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอินเดีย จากเดิม 14.99% เป็น 25.12% โดยทำการสวอปหุ้นของบริษัทที่บริษัทถือครองในบริษัท อะแวนติ ไทย อควอ ฟีดส์ จำนวน 3,844,800 หุ้น ทำให้อะแวนติฟีดกลายเป็นผู้ถือหุ้นเต็ม 100% ในอะแวนติ ไทย อควอ ฟีดส์ ซึ่งการเปลี่ยนสัดส่วนการถือหุ้นครั้งนี้ทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มศักยภาพด้านการผลิตอาหารกุ้งที่มีอัตราการโตมากถึง 3 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และจะมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่องในอนาคต