“โกลว์ พลังงาน” พร้อมยื่นประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีอย่างน้อย 1 โรง ขนาด 900 เมกะวัตต์ ใน อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ชี้มีที่ดินแล้วอยู่ในทำเลเหมาะสมใกล้สายส่งและท่อก๊าซฯ เผยเตรียมลงทุนโรงไฟฟ้าพลังลม 50 เมกะวัตต์ที่โคราชมูลค่า 4.5 พันล้านบาท โดยถือหุ้นไม่เกิน 49% อยู่ระหว่างเจรจาขายไฟกับ กฟผ.คาดได้ข้อสรุปปลายปีนี้ ชี้ครึ่งปีหลังนี้กำไรพุ่งไม่น้อยกว่า 20-25%
นายณัฐพรรษ ตันบุญเอก ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) (GLOW) เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมที่จะยื่นประมูลโรงไฟฟ้าผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) รอบใหม่อย่างน้อย 1 โรง ขนาดกำลังการผลิต 900 เมกะวัตต์ เนื่องจากมีที่ดินที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของอยู่แล้วใน อ.ปลวกแดง จ.ระยอง
โดยพื้นที่ดังกล่าวได้จัดซื้อมาตั้งแต่การประมูลไอพีพีรอบก่อนหน้านี้ แต่ไม่ได้รับการคัดเลือก ซึ่งการประมูลไอพีพีรอบใหม่บริษัทฯ มีความมั่นใจมาก เนื่องจากมีความได้เปรียบในทำเลที่ตั้งโรงไฟฟ้าเพราะไม่ห่างจากสายส่งไฟฟ้า ท่อก๊าซฯ และแหล่งน้ำ ขณะที่ต้นทุนทางการเงินต่ำแข่งขันได้
“เบื้องต้นบริษัทไม่มีนโยบายที่จะยื่นประมูลไอพีพีทั้ง 6 โรง แต่จะยื่นประมูลกี่โรงต้องขอดูเงื่อนไขทีโออาร์ก่อนตัดสินใจ เพราะบริษัทฯ มีความกังวลเกี่ยวกับระยะเวลาที่ค่อนข้างนานกว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าจะเข้าระบบในปี 2564 ซึ่งมีผลต่อค่าก่อสร้าง และต้นทุนเงินกู้”
นายณัฐพรรษกล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ เตรียมลงทุนพลังงานทดแทน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังลม ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ โดยบริษัทฯ จะร่วมทุนกับพันธมิตรตั้งโรงไฟฟ้าพลังลม ขนาดกำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดนครราชสีมา ใช้เงินลงทุน 150 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 4,500 ล้านบาท โดยโกลว์ฯ จะถือหุ้นไม่เกิน 49%
ขณะนี้โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟ (PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้หรือต้นปี 2556 โดยโรงไฟฟ้าพลังลมจะใช้เวลาก่อสร้าง 2-3 ปี แล้วเสร็จจ่ายไฟเข้าระบบได้ในปี 2558-2559
ส่วนโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ขนาด 1.5 เมกะวัตต์นั้นได้ดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เมื่อปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นโครงการนำร่องพลังงานทดแทน ซึ่งบริษัทฯ ยังไม่มีแผนที่จะขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์เพิ่มเติมอีกในเร็วๆ นี้
“ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 80% จากเดิม 2,000 เมกะวัตต์เป็น 3,500 เมกะวัตต์ โดยไม่มีการเพิ่มทุนแต่อย่างใด โดยเน้นการกู้ทั้งหมด ส่งผลให้อัตราหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้นเป็น 2:1 เท่า ซึ่งตามแผนบริษัทจะลดอัตราหนี้สินต่อทุนเหลือ 1:1 เท่าในปี 2558 โดยจะชำระหนี้ที่ครบกำหนดชำระในช่วง 3 ปีนี้คิดเป็นวงเงิน 1.5-2 หมื่นล้านบาทโดยไม่มีนโยบายออกหุ้นกู้เพื่อ Roll over ดังนั้น การตัดสินใจลงทุนใหม่ๆ ในช่วงปี 2556-2558 จะต้องมีผลตอบแทนการลงทุนที่สูง ซึ่งโครงการไอพีพีรอบใหม่และโรงไฟฟ้าพลังลมอยู่ในช่วงจังหวะที่เหมาะสม เพราะอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับปกติแล้ว ทำให้สามารถจัดหาเงินกู้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน”
นายณัฐพรรษกล่าวถึงผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 2555 จะมีรายได้และกำไรดีกว่า 6 เดือนแรกปีนี้ที่มีรายได้ 25,525 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,095 ล้านบาท เนื่องจากครึ่งปีหลังจะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าเก็คโค่ วัน 900 ล้านบาทตามสัดส่วนที่ถือหุ้นอยู่ 65% และค่าเอฟทีที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือน ก.ย. 2555 ส่งผลให้มาร์จิ้นดีขึ้นจากต้นปีที่รัฐเลื่อนการขยับขึ้นค่าเอฟทีและต้นทุนราคาก๊าซฯ ปรับสูงขึ้นมาก ดังนั้นกำไรสุทธิในครึ่งปีหลังนี้น่าจะโตกว่า 20-25% จากครึ่งแรกของปี 2555
ในการเปิดประมูลไอพีพีรอบที่ 3 ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2555-2573 (PDP 2010) ฉบับปรับปรุง คาดว่าปลายปีนี้จะชวนผู้ที่สนใจประมูลยื่นแข่งขันผลิตไฟฟ้าใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงจำนวน 6 แห่ง กำลังการผลิตรวม 5,400 เมกะวัตต์ มีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบโรงแรกในปี 2564