“พลังงาน” โชว์ผลงาน 1 ปีกระชากราคาน้ำมันลงได้จริงผ่านนโยบายเร่งด่วนลดค่าครองชีพ เบนซินลดลงทันที 7-8 บาท ส่วนดีเซลปรับลง 3 บาท โดยสั่งชะลอเก็บเงินเข้ากองทุนฯ “อารักษ์” ลั่นผลักดันไทยเป็นฮับ “พลังงาน” อาเซียน
นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน แถลงว่า ผลการดำเนินงานของกระทรวงพลังงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จ โดยสามารถดูแลราคาพลังงานให้เหมาะสมเป็นธรรม ช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยสิ่งแรกที่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันด้วยการชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการชั่วคราว โดยปรับลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของเบนซิน 95 เบนซิน 91 และดีเซล ซึ่งเป็นผลให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงลิตรละ 8 บาท เบนซิน 91 ลดลง 7 บาท และดีเซลลดลง 3 บาททันที
การออกบัตรเครดิตพลังงาน NGV สำหรับรถรับจ้างสาธารณะ รถแท็กซี่ รถตู้ รถสองแถว โดยเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2554 มีผู้เข้าร่วมโครงการได้รับส่วนลดมากกว่า 85,000 ใบ และมีผู้ได้รับบัตรเครดิตมากกว่า 22,800 คน นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2555 ได้เปิดโครงการบัตรเครดิตพลังงานยกกำลัง 2 เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิตพลังงาน NGV กลุ่มรถแท็กซี่ รถสามล้อ รถตู้ร่วม ขสมก. และวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างด้วย
ขณะเดียวกัน กระทรวงพลังงานได้ตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนอันเนื่องมาจากราคาพลังงาน จึงได้แก้ไขปัญหาค่าครองชีพ โดยใช้เงินกองทุนฯ บริหารช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเข้ามาดูแลราคาพลังงานให้เหมาะสม รักษาระดับราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร คงราคาขายปลีก NGV ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ตรึงราคาขายปลีก LPG ภาคครัวเรือนไปจนถึงสิ้นปี 2555 เพื่อมิให้ประชาชนเดือดร้อน ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน โดยกำหนดราคาขายปลีกไว้ที่ไม่เกิน 30.13 บาท/กก. และทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีก LPG ภาคขนส่ง
นายอารักษ์กล่าวว่า กระทรวงพลังงานยังได้เน้นการดำเนินงานในด้านต่างๆ ที่สำคัญ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1. ด้านความมั่นคงด้านพลังงาน ได้แก่ การสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางด้านพลังงาน โดยกำหนดเป้าหมายการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเบื้องต้นไว้ที่ 90 วันจากเดิม 36 วันของความต้องการใช้ภายในประเทศ, จัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) โดยเฉพาะในส่วนนโยบายด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นพื้นฐานรองรับการขยายกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศในอีก 20 ปีข้างหน้า
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยได้ทำข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศด้านพลังงาน เช่น ศึกษาการจัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติงานด้านพลังงานระหว่างประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมประเทศของสาขาพลังงาน และอุตสาหกรรมพลังงานที่เกี่ยวข้องในการเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นต้น
2. ด้านพลังงานทดแทน ได้แก่ เป้าหมายและแผนงานรองรับการพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศ, นโยบายส่งเสริมการใช้เอทานอลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะมาตรการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 55 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ซึ่งมีส่วนผสมของเอทานอลให้มากยิ่งขึ้น เป็นต้น
3. ด้านการอนุรักษ์พลังงาน ได้แก่ แผนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี (2554-2573) มีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายในปี 2573 อย่างน้อย 38,200 Ktoe (พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) (มากกว่าแผนเดิม 8,200 ktoe) ลดการปล่อย CO2 ในปี 2573 ประมาณ 130 ล้านตัน รวมทั้งสามารถประหยัดพลังงานในปี 2573 ได้ 707,700 ล้านบาท บังคับหน่วยราชการทุกแห่งประหยัดพลังงานลงอย่างน้อย 10% คาดว่าจะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ 316.9 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินมูลค่า 950 ล้านบาท ลดการใช้น้ำมัน 19.1 ล้านลิตร คิดเป็นเงิน 669 ล้านบาท รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น
4. การช่วยเหลือด้านอื่นๆ ได้แก่ การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยโดยผ่านคูปองเพื่อเป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าประหยัดพลังงานเบอร์ 5 และการช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างสาธารณะผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรเครดิตพลังงาน
5. การจัดหาปิโตรเลียมและการจัดเก็บผลตอบแทนแก่รัฐ ได้แก่ การจัดหาปิโตรเลียม กำกับดูแลให้ผู้รับสัมปทานสามารถจัดหาปิโตรเลียมทั้งในพื้นที่ตามสัมปทานภายใต้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ภายใต้พระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย พ.ศ. 2533 เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานของประเทศ, การให้สัมปทานปิโตรเลียม โดยอยู่ระหว่างเตรียมการเปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 เป็นต้น
นายอารักษ์กล่าวอีกว่า กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานกำลังกำหนดรูปแบบการลงทุน วิเคราะห์ และพัฒนาประสิทธิภาพการลงทุนก่อสร้างท่อขนส่งน้ำมันส่วนต่อขยายจากภาคกลางบริเวณจังหวัดสระบุรีไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมคาดว่าจะสำเร็จเป็นรูปธรรมในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 นี้ รวมถึงจะมีแผนปฏิบัติงานที่ชัดเจน
ผลดีที่จะเกิดขึ้นจากการพัฒนาระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ ได้แก่ ลดการขนส่งของรถบรรทุกน้ำมัน, ประหยัดน้ำมันในการขนส่ง 40 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งค่าขนส่งน้ำมันถูกลงทำให้ประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัดใช้น้ำมันในราคาใกล้เคียงหรือเท่ากับ กทม. ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดจากรถขนส่งน้ำมัน เป็นต้น
โดยในปี 2556 กระทรวงพลังงานจะมุ่งเน้นในการจัดหาแหล่งพลังงาน สร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศ และดำเนินงานด้านพลังงานควบคู่ไปกับการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนด้านพลังงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อเป็นการปูทางไปสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกิจพลังงานของภูมิภาคต่อไป