TMA นัดระดมสมองนักธุรกิจชั้นนำของประเทศเพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันก่อนเสนอรัฐจัดเป็นวาระแห่งชาติ หลังถูกสิงคโปร์และมาเลย์ทิ้งห่าง แถมอินโดฯ ไล่จี้ก้น เสนอปัดฝุ่นคณะกรรมการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันฯ ที่มีรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจดูแลให้มีบทบาทมากขึ้นหลังตั้งมา 10 ปีไม่มีผลงาน
นางสาววรรณวีรา รัชฎาวงศ์ กรรมการอำนวยการและกรรมการบริหาร สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ TMA เปิดเผยว่า จากการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลกของ IMD ในปี 2555 พบว่าไทยถูกจัดอันดับที่ 30 จากทั้งหมด 59 ประเทศ ลดลงเมื่อเทียบจากปีก่อนที่อยู่อันดับ 27 ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียมีอันดับความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 16 ขยับขึ้นมาเป็น 14 ส่วนสิงคโปร์อยู่อันดับที่ 4 ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่อันดับ 3
พบว่าปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณานั้นลดลงทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐ ประสิทธิภาพของเอกชน โดยเฉพาะระบบสาธารณูปโภคที่ต่ำมาก อีกทั้งยังมีปัจจัยลบเรื่องความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาล ปัญหาคอร์รัปชัน ความไม่แน่นอนด้านนโยบายรัฐ การไร้ประสิทธิภาพของรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัจจัยที่มาจากทางภาครัฐแทบทั้งสิ้นทั้งๆ ที่ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ดังนั้น ทาง TMA จึงจัดระดมสมองนักธุรกิจชั้นนำของประเทศ รวมถึงหน่วยงานรัฐ เพื่อกำหนดแนวทางในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทย รวมทั้งจัดเวิร์กชอปกลุ่มย่อยโดยเน้นอุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการแข่งขัน เช่น กลุ่มอาหาร ชิ้นส่วนและยานยนต์ การท่องเที่ยว การบริการด้านสุขภาพ การสร้างมูลค่ายาง รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี การพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว ภายใต้งาน Thailand Competitiveness Conference 2012 ระหว่างวันที่ 11-12 กันยายน 2555
โดยจะนำข้อสรุปในงานดังกล่าวจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของประเทศเสนอภาครัฐให้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจะกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ชัดเจน เนื่องจากที่ผ่านมาหลายประเทศในอาเซียนก็มีการกำหนดแผนยุทธศาตร์ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจัดทำเป็นวาระแห่งชาติ เช่น มาเลเซียมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศขึ้นมาตั้งแต่ปี 2550 ทำให้การจัดอันดับของมาเลเซียทิ้งห่างไทยมากขึ้น ขณะเดียวกันอินโดนีเซียก็ไล่จี้มา หากไทยไม่รีบเร่งดำเนินการแก้ไขสุดท้ายก็จะถูกประเทศเพื่อนบ้านทิ้งห่างออกไป
“ภาคเอกชนไม่สามารถผลักดันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากภาครัฐที่จะต้องช่วยลดข้อจำกัดด้านกฎระเบียบและภาษีที่ไม่เอื้อต่อการลงทุน ซึ่งหลายประเทศได้ดำเนินการกันแล้วโดยตั้งคณะทำงานขึ้นมา เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ขณะที่ไทยเองก็มีการตั้งคณะกรรมการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน โดยมีรองนายกฯ ดูแลด้านเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2545 แต่ดูเหมือนคณะกรรมการชุดนี้จะแผ่วไป ไม่ค่อยประชุม จึงอยากให้รัฐปัดฝุ่นคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อผลักดันยกระดับของประเทศขึ้น โดยให้สภาพัฒน์เป็นหัวเรือใหญ่”
นางสาววรรณวีรา รัชฎาวงศ์ กรรมการอำนวยการและกรรมการบริหาร สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ TMA เปิดเผยว่า จากการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลกของ IMD ในปี 2555 พบว่าไทยถูกจัดอันดับที่ 30 จากทั้งหมด 59 ประเทศ ลดลงเมื่อเทียบจากปีก่อนที่อยู่อันดับ 27 ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียมีอันดับความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 16 ขยับขึ้นมาเป็น 14 ส่วนสิงคโปร์อยู่อันดับที่ 4 ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่อันดับ 3
พบว่าปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณานั้นลดลงทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐ ประสิทธิภาพของเอกชน โดยเฉพาะระบบสาธารณูปโภคที่ต่ำมาก อีกทั้งยังมีปัจจัยลบเรื่องความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาล ปัญหาคอร์รัปชัน ความไม่แน่นอนด้านนโยบายรัฐ การไร้ประสิทธิภาพของรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัจจัยที่มาจากทางภาครัฐแทบทั้งสิ้นทั้งๆ ที่ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ดังนั้น ทาง TMA จึงจัดระดมสมองนักธุรกิจชั้นนำของประเทศ รวมถึงหน่วยงานรัฐ เพื่อกำหนดแนวทางในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทย รวมทั้งจัดเวิร์กชอปกลุ่มย่อยโดยเน้นอุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการแข่งขัน เช่น กลุ่มอาหาร ชิ้นส่วนและยานยนต์ การท่องเที่ยว การบริการด้านสุขภาพ การสร้างมูลค่ายาง รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี การพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว ภายใต้งาน Thailand Competitiveness Conference 2012 ระหว่างวันที่ 11-12 กันยายน 2555
โดยจะนำข้อสรุปในงานดังกล่าวจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของประเทศเสนอภาครัฐให้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจะกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ชัดเจน เนื่องจากที่ผ่านมาหลายประเทศในอาเซียนก็มีการกำหนดแผนยุทธศาตร์ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจัดทำเป็นวาระแห่งชาติ เช่น มาเลเซียมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศขึ้นมาตั้งแต่ปี 2550 ทำให้การจัดอันดับของมาเลเซียทิ้งห่างไทยมากขึ้น ขณะเดียวกันอินโดนีเซียก็ไล่จี้มา หากไทยไม่รีบเร่งดำเนินการแก้ไขสุดท้ายก็จะถูกประเทศเพื่อนบ้านทิ้งห่างออกไป
“ภาคเอกชนไม่สามารถผลักดันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากภาครัฐที่จะต้องช่วยลดข้อจำกัดด้านกฎระเบียบและภาษีที่ไม่เอื้อต่อการลงทุน ซึ่งหลายประเทศได้ดำเนินการกันแล้วโดยตั้งคณะทำงานขึ้นมา เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ขณะที่ไทยเองก็มีการตั้งคณะกรรมการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน โดยมีรองนายกฯ ดูแลด้านเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2545 แต่ดูเหมือนคณะกรรมการชุดนี้จะแผ่วไป ไม่ค่อยประชุม จึงอยากให้รัฐปัดฝุ่นคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อผลักดันยกระดับของประเทศขึ้น โดยให้สภาพัฒน์เป็นหัวเรือใหญ่”
