ทีจีเอ็มเร่งเครื่องลุยขายไส้กรอกอาเซียน หวังปักธงก่อนเออีซีเปิดปี 58 อัดงบ 1,200 ล้านบาทผุดโรงงานแห่งที่ 2 ขยายกำลังการผลิต 60 ตันต่อวัน หวังดันส่งออกพม่า ลาว เวียดนาม ตั้งเป้า 2 ปีรายได้ส่งออกพุ่ง 30% วางหมากผุดแฟลกชิปสโตร์-ดีลิเวอรี โชว์ยอดขายปีที่ผ่านมาโต 30-40% รับอานิสงส์น้ำท่วม กวาดรายได้กว่า 1,000 ล้านบาท
นางจันทนา พัวพัฒนขจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเยอรมัน มีท โปรดักท์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเนื้อสัตว์แบรนด์ทีจีเอ็ม เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบ 1,200 ล้านบาทสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ขึ้น บนพื้นที่ 12 ไร่ ที่นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ อ. บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อขยายกำลังผลิตเพิ่มถึง 60 ตันต่อวัน ขณะที่โรงงานแห่งแรกมีกำลังผลิต 20-25 ตันต่อวัน โดยคาดว่าโรงงานจะแล้วเสร็จในปี 2556 ซึ่งในช่วงแรกบริษัทจะใช้กำลังผลิตรวมแล้ว 40-50 ตันต่อวัน นอกจากนี้ยังทุ่มงบ 200 ล้านบาทสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ที่โรงงานแห่งแรก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้ามากขึ้น
ทั้งนี้ การขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดรับกับนโยบายของบริษัทที่วางไว้จะขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอาเซียนรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยบริษัทจะรุกทำตลาดก่อนที่เออีซีจะเปิดในปี 2558 ซึ่งขณะนี้ได้ทดลองทำตลาดลาว พม่า กัมพูชา ได้ผลการตอบรับที่ดี โดยช่องทางการขายหลักของบริษัทจะอยู่ในโรงแรม ขณะที่เดือน ก.ย.เริ่มเข้าไปทำตลาดในเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อีกทั้งยังมีแผนส่งออกสินค้าไปญี่ปุ่นและฮ่องกงอย่างจริงจัง บริษัทตั้งเป้ารายได้ส่งออก 2 ปีนี้เพิ่มจากกว่า 10% เป็น 30% และภายในประเทศจาก 80% เหลือ 70%
“ก่อนหน้าเราใช้งบ 1,000 ล้านบาทสร้างโรงงานแห่งที่ 2 แต่บริษัทได้ทุ่มงบ 200 ล้านบาท เพื่อปรับแบบการก่อสร้างให้สูงขึ้นและปรับระบบไฟใหม่ด้วยการยกให้สูงขึ้นไปอยู่ชั้น 2 ของโรงงานจากเดิมจะติดตั้งไว้ที่ชั้น 1 เพื่อป้องกันความเสียหายหากเกิดปัญหาน้ำท่วม”
นางจันทนากล่าวเพิ่มเติมว่า แผนการขยายธุรกิจในประเทศ บริษัทจะเน้นขยายช่องทางจำหน่ายฟูดเซอร์วิสมากขึ้น เช่น ร้านอาหารในเครือไมเนอร์ โออิชิ และซานตาเฟ่ ขณะเดียวกันก็จะขยายผ่านชอปจำหน่ายสินค้าของบริษัทที่ได้ทำร่วมกับพันธมิตร ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการอยู่ 1 สาขาที่ย่านพระราม 3 และกำลังจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่งหากมีทำเลที่เหมาะสม ภายใต้การใช้งบลงทุน 2-3 ล้านบาท เนื่องจากสาขาแรกได้ผลการตอบรับที่ดี นอกจากนี้กำลังอยู่ระหว่างทดลองจำหน่ายสินค้าในรูปแบบดีลิเวอรีในย่านสาทร
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปีนี้เติบโต 20% จากปีที่ผ่านมามีรายได้กว่า 1,000 ล้านบาท เนื่องจากปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับอานิสงส์จากน้ำท่วม เพราะโรงงานไม่โดนน้ำท่วมจึงได้รับออเดอร์จากลูกค้าเพิ่มขึ้นและมีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น รายได้จึงเติบโตถึง 30-40% จากเดิมตั้งเป้ามีรายได้ 700-800 ล้านบาทเท่านั้น สำหรับรายได้ในช่วง 7 เดือนของปีนี้ บริษัทโตเติบ 10% และคาดว่าสิ้นปีนี้ผลประกอบการจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้