“เอสทีจีฯ” ซุ่มโปรเจกต์ยักษ์ร่วมมือกับแนทจีโอ คาดเปิดตัวไตรมาสสุดท้ายนี้ พร้อมทุ่ม 250 ล้านผุดออฟฟิศ-สตูดิโอใหม่ ชี้ปีหน้าเปิดอีก 6 ช่องทีวีดาวเทียม-ฟรีทูแอร์ กำงบ 500 ล้านลุยซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์
นายจักรพงษ์ สุธีสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีจี มัลติมีเดีย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีโครงการความร่วมมือกับทางบริษัทแม่ของกลุ่มเนชันแนลจีโอกราฟิก (แนทจีโอ/NATGO) ในต่างประเทศ เพื่อลงทุนร่วมกันผลิตรายการสารคดีพิเศษขึ้นมาเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับประเทศไทย และถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทท้องถิ่นได้ทำการร่วมมือผลิตรายการกับแนทจีโอ หลังจากที่เราได้เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ของแนทจีโอในไทยมานานกว่า 12 ปีแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการผลิต คาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเปิดตัวเป็นทางการได้ภายในไตรมาสสุดท้ายปีนี้
นอกจากนั้นยังอยู่ระหว่างการลงทุนอีก 250 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่และมีสตูดิโอด้วย ที่ถนนพุทธมณฑลสาย 2 เพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2017 และจะย้ายบริษัทจากเดิมที่ปิ่นเกล้าไปที่ใหม่ทั้งหมด โดยเป้าหมายจะมุ่งการเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับคอนเทนต์เป็นหลัก และสร้างจุดต่างด้วยการตลาดที่เพิ่มมูลค่าให้ผู้บริโภค แต่ไม่ทำเรื่องคอนเทนต์กีฬา และไมใช่การเป็นโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ เนื่องจากตลาดโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์นั้นมีมูลค่าที่ลดลงตลอดจากเดิมช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีมูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันลดเหลือแค่ 4,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทต้องปรับตัวจากการเป็นโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ไปสู่การเป็นผู้ถือคอนเทนต์เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาแล้ว
ขณะเดียวกัน ในปีหน้ายังมีแผนที่จะเปิดตัวช่องรายการใหม่อีกจำนวน 6 ช่อง ทั้งเพย์ทีวี และฟรีทูแอร์ เพื่อขยายให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายและธุรกิจที่มีอยู่ เช่น ช่องเอเชียนซีรีส์ ช่องฮอลลีวูด โดยเป็นเจ้าของและบริหารเอง 100% จากปัจจุบันที่มีเพียงช่องเดียวคือ ช่องเจเคเอ็น
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะไม่ขยายธุรกิจทางด้านรีเทลหรือช่องทางการจำหน่าย แต่จะใช้วิธีการเป็นพันธมิตรกับค่ายอื่นๆ เช่น ค่ายแฮปปี้โฮมรับผิดชอบช่องทางตลาดเช่า ค่ายยูไนเต็ดรับผิดชอบช่องทางขายขาด ค่ายบูมเมอแรงรับผิดชอบช่องทางขายขาด ค่ายอิมเมจิ้นก็เป็นบริษัทในเครือจีเอ็มเอ็มที่เราร่วมทุนกันอยู่แล้ว ค่ายแมงป่องซึ่งบริษัทก็มีการถือหุ้นอยู่ด้วย เป็นต้น
โดยปัจจุบันเอสทีจีมัลติมีเดียมีธุรกิจแยกออกเป็น 10 หน่วย จาก 4 บริษัทในเครือ และมุ่งเน้นใน 7 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ 1. กลุ่มสารคดี ซึ่งเราเป็นบริษัทรายใหญ่ที่ได้รับสิทธิ์สารคดีรายใหญ่ในไทยจากต่างประเทศ เช่น บีบีซี เนชันแนลจีโอกราฟิก ดิสคัฟเวอรี เป็นต้น 2. กลุ่มหนังฮอลลีวูด 3. กลุ่มหนังเอเชียนเอนเตอร์เทนเมนต์ 4. กลุ่มไทยเอนเตอร์เทนเมนต์ ที่จะนำเอารายการเก่า คือ จี้เส้นคอนเสิร์ตมาทำใหม่ 5. กลุ่มทอล์ดโชว์ 6. กลุ่มเด็ก ซึ่งจะเริ่มนำเอารายการซีรีส์เทเลทับบี้ภาคต่อชุดใหม่มาออกอากาศ ชื่อว่าอินเดอะไนต์การ์เดน และ 7. กลุ่มค่ายเพลง ที่จะเปิดตัวค่ายเพลงใหม่ชื่อว่า เอสทีจีมิวสิก
ปัจจุบันบริษัทมีรายได้รวมประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะมีอัตราการเติบโต 15% โดยสัดส่วนรายได้หลักยังคงมาจากกลุ่มฟิสิเคิล คือบลูเรย์ และดีวีดีประมาณ 60% ซึ่งในแต่ละปีใช้งบประมาณในการซื้อลิขสิทธิ์ประมาณ 200 กว่าล้านบาท และเพิ่มขึ้นทุกปี คาดว่าปีหน้าต้องใช้งบประมาณ 500 ล้านบาทในการซื้อลิขสิทธิ์
นายจักรพงษ์ สุธีสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีจี มัลติมีเดีย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีโครงการความร่วมมือกับทางบริษัทแม่ของกลุ่มเนชันแนลจีโอกราฟิก (แนทจีโอ/NATGO) ในต่างประเทศ เพื่อลงทุนร่วมกันผลิตรายการสารคดีพิเศษขึ้นมาเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับประเทศไทย และถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทท้องถิ่นได้ทำการร่วมมือผลิตรายการกับแนทจีโอ หลังจากที่เราได้เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ของแนทจีโอในไทยมานานกว่า 12 ปีแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการผลิต คาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเปิดตัวเป็นทางการได้ภายในไตรมาสสุดท้ายปีนี้
นอกจากนั้นยังอยู่ระหว่างการลงทุนอีก 250 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่และมีสตูดิโอด้วย ที่ถนนพุทธมณฑลสาย 2 เพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2017 และจะย้ายบริษัทจากเดิมที่ปิ่นเกล้าไปที่ใหม่ทั้งหมด โดยเป้าหมายจะมุ่งการเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับคอนเทนต์เป็นหลัก และสร้างจุดต่างด้วยการตลาดที่เพิ่มมูลค่าให้ผู้บริโภค แต่ไม่ทำเรื่องคอนเทนต์กีฬา และไมใช่การเป็นโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ เนื่องจากตลาดโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์นั้นมีมูลค่าที่ลดลงตลอดจากเดิมช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีมูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันลดเหลือแค่ 4,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทต้องปรับตัวจากการเป็นโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ไปสู่การเป็นผู้ถือคอนเทนต์เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาแล้ว
ขณะเดียวกัน ในปีหน้ายังมีแผนที่จะเปิดตัวช่องรายการใหม่อีกจำนวน 6 ช่อง ทั้งเพย์ทีวี และฟรีทูแอร์ เพื่อขยายให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายและธุรกิจที่มีอยู่ เช่น ช่องเอเชียนซีรีส์ ช่องฮอลลีวูด โดยเป็นเจ้าของและบริหารเอง 100% จากปัจจุบันที่มีเพียงช่องเดียวคือ ช่องเจเคเอ็น
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะไม่ขยายธุรกิจทางด้านรีเทลหรือช่องทางการจำหน่าย แต่จะใช้วิธีการเป็นพันธมิตรกับค่ายอื่นๆ เช่น ค่ายแฮปปี้โฮมรับผิดชอบช่องทางตลาดเช่า ค่ายยูไนเต็ดรับผิดชอบช่องทางขายขาด ค่ายบูมเมอแรงรับผิดชอบช่องทางขายขาด ค่ายอิมเมจิ้นก็เป็นบริษัทในเครือจีเอ็มเอ็มที่เราร่วมทุนกันอยู่แล้ว ค่ายแมงป่องซึ่งบริษัทก็มีการถือหุ้นอยู่ด้วย เป็นต้น
โดยปัจจุบันเอสทีจีมัลติมีเดียมีธุรกิจแยกออกเป็น 10 หน่วย จาก 4 บริษัทในเครือ และมุ่งเน้นใน 7 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ 1. กลุ่มสารคดี ซึ่งเราเป็นบริษัทรายใหญ่ที่ได้รับสิทธิ์สารคดีรายใหญ่ในไทยจากต่างประเทศ เช่น บีบีซี เนชันแนลจีโอกราฟิก ดิสคัฟเวอรี เป็นต้น 2. กลุ่มหนังฮอลลีวูด 3. กลุ่มหนังเอเชียนเอนเตอร์เทนเมนต์ 4. กลุ่มไทยเอนเตอร์เทนเมนต์ ที่จะนำเอารายการเก่า คือ จี้เส้นคอนเสิร์ตมาทำใหม่ 5. กลุ่มทอล์ดโชว์ 6. กลุ่มเด็ก ซึ่งจะเริ่มนำเอารายการซีรีส์เทเลทับบี้ภาคต่อชุดใหม่มาออกอากาศ ชื่อว่าอินเดอะไนต์การ์เดน และ 7. กลุ่มค่ายเพลง ที่จะเปิดตัวค่ายเพลงใหม่ชื่อว่า เอสทีจีมิวสิก
ปัจจุบันบริษัทมีรายได้รวมประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะมีอัตราการเติบโต 15% โดยสัดส่วนรายได้หลักยังคงมาจากกลุ่มฟิสิเคิล คือบลูเรย์ และดีวีดีประมาณ 60% ซึ่งในแต่ละปีใช้งบประมาณในการซื้อลิขสิทธิ์ประมาณ 200 กว่าล้านบาท และเพิ่มขึ้นทุกปี คาดว่าปีหน้าต้องใช้งบประมาณ 500 ล้านบาทในการซื้อลิขสิทธิ์