เชนโรงแรมไทย-ต่างชาติฟันธงแนวโน้มนักลงทุนในธุรกิจโรงแรมอายุเฉลี่ยลดลงเหลือ 25-35 ปี ระบุเป็นธุรกิจช่วยต่อยอดฐานการเงินจากธุรกิจหลักของตระกูล และถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ประกอบกับมีเชนโรงแรมหลากหลายให้เลือกใช้ จึงผุดโรงแรมด้วยไอเดียใหม่ๆ ด้านเบสท์เวสเทิร์นชี้ หลังเปิดเออีซีมีเศรษฐีนักธุรกิจรุ่นใหม่
จ่อเข้ามาลงทุนโรงแรมในประเทศไทย โดยเฉพาะสิงคโปร์
นายเกลนน์ เดอ ซูซา รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ ตลาดเอเชียและตะวันออกกลาง บริษัท เบสท์เวสเทิร์น อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทเป็นผู้รับบริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์เบสท์เวสเทิร์น พบว่าแนวโน้มนักลงทุนที่เข้าสู่ธุรกิจโรงแรมในเอเชียตะวันออกกลางและประเทศไทย มีอายุเฉลี่ยน้อยลงมาอยู่ที่ประมาณ 25-35 ปี เห็นได้ชัดขึ้นในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นที่สอง มีฐานะทางการเงินดีมาก และมีการศึกษาดี โดยมองว่าธุรกิจโรงแรมมีความมั่นคงสูง ให้ผลตอบแทนได้ในระยะยาว โดยคนกลุ่มนี้จะแตกตัวมาจากธุรกิจหลักของครอบครัว เช่น มาจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ การผลิตในสายอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
“กลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ นี้จะมีบุคลิกที่มีความกระตือรือร้นสูง จึงต้องการขยายงานเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมเพื่อกระจายความเสี่ยง แล้วมาเลือกใช้เชนโรงแรมเป็นผู้บริหาร ทำให้เชนโรงแรมต่างชาติเกิดความท้าทายที่จะต้องทำงานด้านการให้ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมโรงแรมให้แก่เจ้าของธุรกิจซึ่งอายุยังน้อยและไม่เคยรู้จักธุรกิจนี้มาก่อน”
****ทุนสิงคโปร์จ่อลงทุนในไทย
สำหรับประเทศไทย แนวโน้มการลงทุนโรงแรม ภายหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 เชื่อว่าจะมีนักลงทุนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สนใจเข้ามาทำธุรกิจกันมากขึ้น เพราะภูมิภาคนี้มีเศรษฐีและนักธุรกิจที่มีความพร้อมจะลงทุนจำนวนมากและกำลังมองหาแหล่งที่จะไปลงทุน ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพน่าสนใจ มีการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง และผ่านวิกฤตมาหลายครั้งก็พลิกฟื้นได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ประเทศที่มีศักยภาพในการลงทุนสูงมากขณะนี้คือสิงคโปร์ เพราะมีระบบการวางแผนด้านการลงทุนที่ดี กล้าตัดสินใจอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้ามาประเทศไทยก็ทำได้สะดวกหากไม่มีข้อจำกัดด้านการเป็นเจ้าของธุรกิจ
ส่วนประเด็นที่ประเทศไทยจะตั้งตัวเป็นศูนย์กลาง (ฮับ) ทางการท่องเที่ยวภายหลังเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะขณะนี้หลายประเทศต่างก็เร่งปรับตัวเองเพื่อรองรับการเปิดเออีซี หลายประเทศแสดงความต้องการที่จะผลักดันประเทศตัวเองให้เป็นฮับ ที่เห็นเด่นชัดและมีความพร้อมมากที่สุดขณะนี้คือประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเริ่มขยายสนามบินเพื่อรองรับสายการบินต่างๆ ที่จะบินเข้ามาในอาเซียน ส่วนประเทศไทย ปัญหาหลักยังเป็นเรื่องของนโยบายรัฐบาลและปัญหาการเมืองภายในประเทศ
***คนรุ่นใหม่มองธุรกิจโรงแรมเป็นการลงทุน
ทางด้านนายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานฝ่ายการเงินและบริหาร โรงแรมในกลุ่มเซ็นทาราโฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท กล่าวว่า การลงทุนโรงแรมถือเป็นการสร้างทรัพย์สินให้แก่ธุรกิจ โดยอนาคตมูลค่าของทรัพย์สินนี้จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นใหม่จึงมองการลงทุนในธุรกิจนี้เป็นการลงทุนแบบระยะยาว
“ในอดีตผู้เป็นเจ้าของโรงแรมส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จจากธุรกิจอื่นๆ มาก่อนที่จะเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม จึงมีอายุเฉลี่ยราว 40-50 ปี แต่ขณะนี้นักธุรกิจรุ่นใหม่มองการลงทุนในธุรกิจโรงแรมเป็นโอกาส ทำให้เดินเข้าสู่ธุรกิจนี้กันมากขึ้น อายุเฉลี่ยของผู้ประกอบการโรงแรมจึงมาอยู่ที่ 25-30 ปี มีบุคลิกที่กล้าตัดสินใจ ชอบความท้าทาย มองเห็นโลกในมุมมองใหม่ๆ เกิดไอเดียมาสร้างเป็นโรงแรม แล้วมองหาเชนที่เหมาะสมเข้ามาบริหาร ซึ่งเชนโรงแรมขณะนี้ก็เกิดมากขึ้น จึงสอดคล้องกันพอดี” นายรณชิตกล่าว
จ่อเข้ามาลงทุนโรงแรมในประเทศไทย โดยเฉพาะสิงคโปร์
นายเกลนน์ เดอ ซูซา รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ ตลาดเอเชียและตะวันออกกลาง บริษัท เบสท์เวสเทิร์น อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทเป็นผู้รับบริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์เบสท์เวสเทิร์น พบว่าแนวโน้มนักลงทุนที่เข้าสู่ธุรกิจโรงแรมในเอเชียตะวันออกกลางและประเทศไทย มีอายุเฉลี่ยน้อยลงมาอยู่ที่ประมาณ 25-35 ปี เห็นได้ชัดขึ้นในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นที่สอง มีฐานะทางการเงินดีมาก และมีการศึกษาดี โดยมองว่าธุรกิจโรงแรมมีความมั่นคงสูง ให้ผลตอบแทนได้ในระยะยาว โดยคนกลุ่มนี้จะแตกตัวมาจากธุรกิจหลักของครอบครัว เช่น มาจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ การผลิตในสายอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
“กลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ นี้จะมีบุคลิกที่มีความกระตือรือร้นสูง จึงต้องการขยายงานเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมเพื่อกระจายความเสี่ยง แล้วมาเลือกใช้เชนโรงแรมเป็นผู้บริหาร ทำให้เชนโรงแรมต่างชาติเกิดความท้าทายที่จะต้องทำงานด้านการให้ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมโรงแรมให้แก่เจ้าของธุรกิจซึ่งอายุยังน้อยและไม่เคยรู้จักธุรกิจนี้มาก่อน”
****ทุนสิงคโปร์จ่อลงทุนในไทย
สำหรับประเทศไทย แนวโน้มการลงทุนโรงแรม ภายหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 เชื่อว่าจะมีนักลงทุนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สนใจเข้ามาทำธุรกิจกันมากขึ้น เพราะภูมิภาคนี้มีเศรษฐีและนักธุรกิจที่มีความพร้อมจะลงทุนจำนวนมากและกำลังมองหาแหล่งที่จะไปลงทุน ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพน่าสนใจ มีการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง และผ่านวิกฤตมาหลายครั้งก็พลิกฟื้นได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ประเทศที่มีศักยภาพในการลงทุนสูงมากขณะนี้คือสิงคโปร์ เพราะมีระบบการวางแผนด้านการลงทุนที่ดี กล้าตัดสินใจอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้ามาประเทศไทยก็ทำได้สะดวกหากไม่มีข้อจำกัดด้านการเป็นเจ้าของธุรกิจ
ส่วนประเด็นที่ประเทศไทยจะตั้งตัวเป็นศูนย์กลาง (ฮับ) ทางการท่องเที่ยวภายหลังเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะขณะนี้หลายประเทศต่างก็เร่งปรับตัวเองเพื่อรองรับการเปิดเออีซี หลายประเทศแสดงความต้องการที่จะผลักดันประเทศตัวเองให้เป็นฮับ ที่เห็นเด่นชัดและมีความพร้อมมากที่สุดขณะนี้คือประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเริ่มขยายสนามบินเพื่อรองรับสายการบินต่างๆ ที่จะบินเข้ามาในอาเซียน ส่วนประเทศไทย ปัญหาหลักยังเป็นเรื่องของนโยบายรัฐบาลและปัญหาการเมืองภายในประเทศ
***คนรุ่นใหม่มองธุรกิจโรงแรมเป็นการลงทุน
ทางด้านนายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานฝ่ายการเงินและบริหาร โรงแรมในกลุ่มเซ็นทาราโฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท กล่าวว่า การลงทุนโรงแรมถือเป็นการสร้างทรัพย์สินให้แก่ธุรกิจ โดยอนาคตมูลค่าของทรัพย์สินนี้จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นใหม่จึงมองการลงทุนในธุรกิจนี้เป็นการลงทุนแบบระยะยาว
“ในอดีตผู้เป็นเจ้าของโรงแรมส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จจากธุรกิจอื่นๆ มาก่อนที่จะเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม จึงมีอายุเฉลี่ยราว 40-50 ปี แต่ขณะนี้นักธุรกิจรุ่นใหม่มองการลงทุนในธุรกิจโรงแรมเป็นโอกาส ทำให้เดินเข้าสู่ธุรกิจนี้กันมากขึ้น อายุเฉลี่ยของผู้ประกอบการโรงแรมจึงมาอยู่ที่ 25-30 ปี มีบุคลิกที่กล้าตัดสินใจ ชอบความท้าทาย มองเห็นโลกในมุมมองใหม่ๆ เกิดไอเดียมาสร้างเป็นโรงแรม แล้วมองหาเชนที่เหมาะสมเข้ามาบริหาร ซึ่งเชนโรงแรมขณะนี้ก็เกิดมากขึ้น จึงสอดคล้องกันพอดี” นายรณชิตกล่าว