“ฮอทพอท” โฟกัสอินเตอร์บุฟเฟต์หวังขยายฐานผู้บริโภค พร้อมเดินหน้าเข้าตลาด MAI ได้แน่ในไตรมาสสามนี้ วางแผนผุดสาขาใหม่ปีนี้ 24 แห่ง ซุ่มศึกษาขยายต่างประเทศรับเออีซี ยอมรับปรับราคาค่าบุฟเฟต์ขึ้นเฉลี่ย 20 บาทต่อคน
นางสกุณา บ่ายเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮอทพอท (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะให้ความสำคัญและเน้นหนักการลงทุนขยายสาขาแบรดน์ ฮอทพอท อินเตอร์ บุฟเฟต์ เป็นหลัก เนื่องจากเป็นโมเดลที่ราคาค่าบุฟเฟต์ไม่สูงเกินไปประมาณ 299 บาทต่อคน ทำให้ขยายฐานผู้บริโภคในวงกว้างได้มาก
จากทั้งหมดที่มีหลายแบรนด์คือ ฮอทพอทราเมนบุฟเฟต์ 1 สาขา, ฮอทพอทเพรสทีจ ระดับพรีเมียม ราคา 389 บาทต่อคน 1 สาขา, ฮอทพอท บุฟเฟต์ แวลู ระดับกลาง 70 กว่าสาขา และฮอทพอทสุกี้ชาบู รวมทั้งยังมีร้านไดโดมอนอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันมีสาขาในนามของฮอทพอทรวมประมาณ 139 สาขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ปรับราคาอาหารและค่าบุฟเฟต์ขึ้นทุกแบรนด์เฉลี่ย 20 บาทต่อคน เพราะต้นทุนวัตถุดิบปรับราคาขึ้นอย่างมาก เช่น อินเตอร์บุฟเฟต์ ราคาเดิม 299 บาท เป็น 319 บาทต่อคน
สำหรับแผนลงทุนปีนี้ วางแผนเปิดแบรนด์ฮอทพอทรวมทั้งสิ้น 24 สาขา โดยครึ่งปีแรกเปิดไปแล้ว 12 สาขา ลงทุนเฉลี่ย 7-8 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ฮอทพอทอินเตอร์บุฟเฟต์ และมีไดโดมอน 1 สาขา ส่งผลให้ยอดขายรวมครึ่งปีแรกนี้เติบโต 20% ขณะที่ทั้งปี 2555 ตั้งเป้ายอดขายเติบโตไว้ที่ 30% เช่นเดียวกับปีที่แล้วเติบโต 30%
นอกจากนั้น ไตรมาสสามนี้คาดว่าจะสามารถนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาด MAI ได้แน่นอน หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้อนุมัติไปแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีแอดไวซอรีพลัสเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งบริษัทจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 100 ล้านบาท จากเดิมที่มีทุนจดทะเบียน 56.8 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในการลงทุนขยายสาขาเป็นหลัก
รวมทั้งจะมีการสร้างแบรนด์ต่อเนื่องเพื่อตอกย้ำและสร้างการรับรู้ในใจผู้บริโภค เพื่อเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำตลาด 1 ใน 3 ในตลาดบุฟเฟต์เมืองไทยให้ได้ โดยใช้งบตลาด 3% จากยอดขายรวม โดยปัจจุบันมีฐานสมาชิกมากกว่า 500,000 ราย และมีแฟนเพจประมาณ 100,000 ราย อัตราการเข้าร้านของลูกค้าเฉลี่ย 1-2 ครั้งต่อเดือนต่อคน
นอกจากนั้นมีแผนที่จะเพิ่มครัวกลางในการผลิตวัตถุดิบด้วยเมื่อมีสาขาเพิ่มมากขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศด้วยในอนาคตอีกอย่างน้อย 1-2 ปีจากนี้ อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 ซึ่งยังไม่สรุปว่าจะลงทุนแบบใด ร่วมทุนหรือลงทุนเองแล้วแต่กรณี ส่วนในประเทศไทยไม่มีนโยบายขายแฟรนไชส์แน่นอน
