พพ.การันตีร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการมหกรรมสินค้าเบอร์ 5 เยียวยาผู้ประสบอุทกภัยที่รับคูปองจากประชาชนที่นำไปเป็นส่วนลดซื้ออุปกรณ์ประหยัดพลังงานมูลค่า 2,000 บาท จะได้รับเงินจ่ายคืนแน่นอนหากที่สุด สตง.ยืนยันว่าใช้เงินกองทุนอนุรักษ์ผิดวัตถุประสงค์ก็ตาม พร้อมตั้งงบประมาณจ่าย 1,300 ล้านบาทแทน แต่มั่นใจจะไร้ปัญหา เหตุชี้แจงได้
นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า หากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.ยืนยันว่าโครงการมหกรรมสินค้าเบอร์ 5 เยียวยาผู้ประสบอุทกภัยด้วยการมอบคูปองส่วนลดซื้อสินค้าประหยัดพลังงานมูลค่า 2,000 บาทผิดวัตถุประสงค์ของการใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจริงกระทรวงพลังงานเองคงจะต้องหางบประมาณรวม 1,300 ล้านบาทมาจ่ายคืนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ได้ทำหนังสือชี้แจง สตง.ไปแล้ว ซึ่งมั่นใจว่าได้ตอบประเด็นที่ สตง.กังวลใจไป 2 ด้านครบถ้วน คือ 1. การใช้เงินกองทุนฯ อนุรักษ์พลังงานจะต้องส่งเสริมการลดการผลิตและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เกรงว่าเป็นการใช้ผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งคูปองดังกล่าวเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนที่ประสบภาวะน้ำท่วมได้หันไปซื้อสินค้าประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่ประหยัดพลังงานซึ่งภาพรวมโครงการจะประหยัดไฟคิดเป็นเงินประมาณ 260 ล้านบาท 2. สตง.กังวลเรื่องความรัดกุมของการใช้คูปองว่ามีการใช้อย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งแนวทางที่ผ่านมาได้มีขั้นตอนอย่างชัดเจนและมีการกระจายไปยังร้านค้าที่เข้าร่วมอย่างสมัครใจถึง 614
ร้านใน 28 จังหวัด
ทั้งนี้ การแจกคูปองทั้งสิ้นรวม 910,843 ชุด คิดเป็นมูลค่า 1,821.7 ล้านบาท โดยมีร้านค้ายื่นเบิกเงินคืนคูปองรวม 1,300 ล้านบาท โดย พพ.ได้จ่ายเงินแก่ร้านค้าไปแล้ว 317 ล้านบาท ส่วนที่เหลือต้องชะลอออกไปเนื่องจาก สตง.ได้ทำหนังสือมาเพื่อขอให้ตรวจสอบและชะลอการเบิกจ่ายเงินก่อน ซึ่งหากได้รับการอนุมัติให้จ่ายเงินคืนคูปองแก่ร้านค้าจะมี 2 ส่วนที่เหลือคือร้านที่มีการตรวจสอบเอกสารแล้วรอการจ่าย 440 ล้านบาทส่วนนี้จะจ่ายได้ใน 2 สัปดาห์ และอีกส่วนที่รอการตรวจสอบ 543 ล้านบาทจะทยอยจ่ายในระยะเวลา 3 เดือนหรือไม่เกินเดือน ก.ย.
“ก็คงต้องรอ สตง.เห็นชอบก่อน ก็คิดว่าน่าจะเร็วๆ นี้เพราะได้มีการชี้แจงไปแล้วซึ่งเราก็เชื่อมั่นว่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าผิดวัตถุประสงค์การใช้เงินจริงก็คงจะมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณมาดูแลแทนในวงเงินทั้งหมด 1,300 ล้านบาท ซึ่งก็จะจ่ายในส่วนที่เหลือให้ครบตามแผน” นายไกรฤทธิ์กล่าว
