ไลอ้อนอัด 700 ล้านบาทเพิ่มกำลังผลิตสินค้ากลุ่มโฮมแคร์ รองรับธุรกิจขยายตัว 5 ปี โอดครึ่งปีแรกพลาดเป้า พิษน้ำท่วมกระทบกำลังซื้อผู้บริโภคร่วง เงินบาทแข็งฉุดส่งออก มั่นใจสิ้นปีไม่ปรับเป้า กวาดยอดขาย 12,000 ล้านบาท
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี ประธานกรรมการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจระหว่างปี 2555-2556 ในเบื้องต้นช่วงปลายปีนี้ได้ลงทุน 700 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าเครื่องใช้ภายในครัวเรือนหรือโฮมแคร์เพิ่มขึ้น 50% เช่น ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน และน้ำยาปรับผ้านุ่ม ขณะที่ต้นปีที่ผ่านมาใช้งบลงทุนไปแล้ว 700-800 ล้านบาท ในการขยายกำลังผลิตสินค้าดูแลช่องปากและฟันที่โรงงานศรีราชา ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ของสินค้าเข้าทำตลาด
ทั้งนี้ การลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าดังกล่าวถือเป็นการรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งบริษัทมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปัจจุบันอยู่ที่ 10% เพิ่มเป็น 20% ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวแปรงสีฟันนวัตกรรมขนแปรงบิดเกลียวเข้าทำตลาดเป็นรายแรกในเอเชีย
“เราจะไม่ยึดติดกับสินค้าปัจจุบัน แต่จะปรับให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค และเทคโนโลยีที่พัฒนามากขึ้น โดยยังมีความสนใจจะขยายกลุ่มสินค้าใหม่ในกลุ่มเพื่อสุขภาพเข้าทำตลาดเพิ่มเติมในอนาคต จากปัจจุบันมีสินค้า 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ โฮมแคร์สัดส่วน 50%ก ลุ่มออรัลแคร์ 25% และเพอร์ซันนัลแคร์ 25%”
สำหรับภาพรวมยอดขายของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเติบโต 7-8% ถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ ปัจจัยที่เติบโตน้อยมาจากการเคลื่อนย้ายสต๊อกสินค้า และการปรับสินค้าคงคลังจากน้ำท่วม นอกจากนี้ ปัจจัยในเรื่องของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงต้นปีก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของบริษัท เนื่องจากทำให้มูลค่ายอดขายในด้านการส่งออกลดลง
อีกทั้งยังมาจากหลังจากเกิดน้ำท่วมปลายปีที่ผ่านมาผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย แต่บริษัทยังไม่มีแผนที่จะปรับเป้าหมายรายได้ในสิ้นปีนี้ โดยตั้งเป้าทั้งปีโต 10%
ส่วนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 นั้น บริษัทไม่มีแผนรุกตลาดอาเซียนมากขึ้น เนื่องจากบริษัทส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดมากว่า 10 ปี และประเทศไทยเองก็ถือเป็นโกลบอลมาร์เกต มีผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่เข้ามาทำตลาดเป็นระยเวลานาน จึงทำให้ต้องรักษาตลาดในประเทศไว้
สภาพตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคแข่งขันค่อนข้างรุนแรง กลยุทธ์ที่นำมาใช้ก็จะมีทั้งการลดราคา แลก แจก แถม ส่งผลให้บริษัทต้องปรับแผนการทำตลาดด้วยการขายสินค้าเป็นแพกเกจมากขึ้น โดยสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ตรงตามเป้าหมายที่ 12,000 ล้านบาท
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี ประธานกรรมการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจระหว่างปี 2555-2556 ในเบื้องต้นช่วงปลายปีนี้ได้ลงทุน 700 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าเครื่องใช้ภายในครัวเรือนหรือโฮมแคร์เพิ่มขึ้น 50% เช่น ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน และน้ำยาปรับผ้านุ่ม ขณะที่ต้นปีที่ผ่านมาใช้งบลงทุนไปแล้ว 700-800 ล้านบาท ในการขยายกำลังผลิตสินค้าดูแลช่องปากและฟันที่โรงงานศรีราชา ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ของสินค้าเข้าทำตลาด
ทั้งนี้ การลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าดังกล่าวถือเป็นการรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งบริษัทมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปัจจุบันอยู่ที่ 10% เพิ่มเป็น 20% ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวแปรงสีฟันนวัตกรรมขนแปรงบิดเกลียวเข้าทำตลาดเป็นรายแรกในเอเชีย
“เราจะไม่ยึดติดกับสินค้าปัจจุบัน แต่จะปรับให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค และเทคโนโลยีที่พัฒนามากขึ้น โดยยังมีความสนใจจะขยายกลุ่มสินค้าใหม่ในกลุ่มเพื่อสุขภาพเข้าทำตลาดเพิ่มเติมในอนาคต จากปัจจุบันมีสินค้า 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ โฮมแคร์สัดส่วน 50%ก ลุ่มออรัลแคร์ 25% และเพอร์ซันนัลแคร์ 25%”
สำหรับภาพรวมยอดขายของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเติบโต 7-8% ถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ ปัจจัยที่เติบโตน้อยมาจากการเคลื่อนย้ายสต๊อกสินค้า และการปรับสินค้าคงคลังจากน้ำท่วม นอกจากนี้ ปัจจัยในเรื่องของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงต้นปีก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของบริษัท เนื่องจากทำให้มูลค่ายอดขายในด้านการส่งออกลดลง
อีกทั้งยังมาจากหลังจากเกิดน้ำท่วมปลายปีที่ผ่านมาผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย แต่บริษัทยังไม่มีแผนที่จะปรับเป้าหมายรายได้ในสิ้นปีนี้ โดยตั้งเป้าทั้งปีโต 10%
ส่วนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 นั้น บริษัทไม่มีแผนรุกตลาดอาเซียนมากขึ้น เนื่องจากบริษัทส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดมากว่า 10 ปี และประเทศไทยเองก็ถือเป็นโกลบอลมาร์เกต มีผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่เข้ามาทำตลาดเป็นระยเวลานาน จึงทำให้ต้องรักษาตลาดในประเทศไว้
สภาพตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคแข่งขันค่อนข้างรุนแรง กลยุทธ์ที่นำมาใช้ก็จะมีทั้งการลดราคา แลก แจก แถม ส่งผลให้บริษัทต้องปรับแผนการทำตลาดด้วยการขายสินค้าเป็นแพกเกจมากขึ้น โดยสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ตรงตามเป้าหมายที่ 12,000 ล้านบาท
