สศอ.เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หรือ MPI พ.ค. 55 ขยับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและ เม.ย. 55 โดยอัตราการใช้กำลังผลิตพุ่งสูงถึง 75.84% สูงสุดรอบ 12 ปีหลังโรงงานฟื้นตัวจากน้ำท่วม สั่งทูตอุตฯ ออสเตรียเกาะติดข้อมูลอียู
นายโสภณ ผลประสิทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) หรือ MPI เดือนพฤษภาคม 2555 อยู่ที่ระดับ 187.99 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.53% จากเดือนพฤษภาคม 2554 และปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก เม.ย. 55 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 165.21 ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 75.84% ซึ่งถือเป็นอัตราสูงสุดตั้งแต่มีการจัดทำดัชนีฯ ในปี 2543 หรือในรอบ 12 ปี โดยสาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตจากภาวะน้ำท่วมหนักที่เริ่มกลับมาผลิตโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม วิกฤตเศรษฐกิจยูโรโซนเดือน พ.ค.55 หากพิจารณาจากตัวเลขการส่งออกและอัตราการใช้กำลังผลิตของภาคอุตสาหกรรมยังไม่ได้รับผลกระทบที่ชัดเจนซึ่งจะต้องติดตามอีกระยะหนึ่ง ดังนั้น สศอ.จึงได้มอบหมายให้ทูตอุตสาหกรรมที่ออสเตรียส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวด้านการค้าและภาวะเศรษฐกิจในประเทศกลุ่มยูโรโซนทุกสัปดาห์เพื่อที่จะประเมินความเสี่ยงในการรับมือให้แก่ภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ สศอ.ได้วิเคราะห์ผลกระทบวิกฤตยูโรโซนใน 6 กลุ่มอุตสาหกรรมเสี่ยงที่มีผลต่อการส่งออกค่อนข้างสูง คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อัญมณี ยางและผลิตภัณฑ์ยาง และอุตสาหกรรมอาหาร ที่จะมีการติดตามภาวะคำสั่งซื้อ การผลิตอย่างใกล้ชิดเพื่อรับมือผลกระทบได้ทันท่วงที โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์แม้ว่ายอดการผลิตจะขยายตัวค่อนข้างมากแต่สิ่งที่ต้องติดตามเพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงคือ สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หรือจีเอสพี ที่ประเทศกลุ่มอียูอาจตัดสิทธิไทยได้เพื่อที่จะหันไปใช้สินค้าในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
“การประเมินล่าสุดเรายังไม่ปรับเป้าหมาย MPI ทั้งปีที่ยังคงมองว่าจะขยายตัวที่ 6-7% จากปีที่แล้ว ซึ่งผลกระทบวิกฤตยูโรโซนและสหรัฐอเมริกายอมรับว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ แต่ปัจจัยตัวอื่นๆ ทั้งอัตราเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันลดลงมาก” นายโสภณกล่าว