“ปริญสิริ” บ่นแรงงานขาดฉุดรายได้ร่วง เสนาฯ ล็อกเป้ารับเหมาการันตีป้อนงานตลอดปีแก้

ปริญสิริโอดปัญหาแรงงานขาดแคลนทำให้สร้างบ้านไม่ทัน ฉุดรายได้ 5 เดือนแรกทำได้แค่พันล้าน คาดทั้งปีสร้างรายได้ไม่ถึง 3.2 พันล้านบาทตามเป้า ครึ่งปีหลังลุยเปิด 6 โครงการรวดหวังฟื้นยอดขาย ด้านเสนาฯ คล้องแขนรับเหมา “พรพระนคร” แก้แรงงานขาดป้อนงานก่อสร้างทั้งปี 70,000-100,000 ตร.ม แจงแผนธุรกิจเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 5โครงการ หลังเปิดไปแล้ว 2 โครงการในต้นปี พร้อมเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจเช่าวางเป้า 5 ปีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 10% ล่าสุดเจรจาซื้อที่ดินย่านรามอินทราเล็งผุดคอมมูนิตีมอลล์แห่งใหม่

นายชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักกรรมการผู้จัดการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIN เปิดเผยว่า จากปัญหาขาดแคลนแรงงานในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทก่อสร้างบ้านไม่ทันกำหนดส่งมอบ ส่งผลให้รายได้ในช่วง 5 เดือนแรกของบริษัททำได้แค่ 1,000 ล้านบาทจากเป้ารายได้ในครึ่งปีแรก 1,500 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีโอกาสปรับลดเป้ารายได้และยอดขายในปี 55 ลงจากเดิมที่ตั้งไว้ที่ 3,200 ล้านบาท

นอกจากนี้ ปัญหาแรงงานยังทำให้แผนเปิดโครงการใหม่ล่าช้าออกไป จากเดิมมีแผนเปิด 6 โครงการมูลค่ารวม 3,262 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 1 โครงการ, บ้านเดี่ยว 3 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ โดยจะทยอยเปิดตั้งแต่ต้นปี แต่ต้องเลื่อนไปเปิดในไตรมาส 4 ของปีนี้ทั้งหมด ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาต้องใช้ผู้รับเหมารายย่อยในการก่อสร้าง 50-60 ราย ซึ่งแต่ละรายมีลูกน้องอยู่ในมือเฉลี่ย 20-60 คน แต่ปัจจุบันมีผู้รับเหมาเหลืออยู่เพียง 1 ใน 3 หรือประมาณ 15-20 ราย ทำให้ไม่สามารถก่อสร้างบ้านได้ทัน

“ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนระบบก่อสร้างใหม่ โดยหันไปใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปมากขึ้น จึงทำให้บริษัทรับเหมารายย่อยที่เคยใช้อยู่ 50-60 รายนั้นทยอยออกไปรับงานก่อสร้างกับผู้ประกอบการอสังหาฯ ค่ายอื่นที่มีงานป้อนให้ตลอดเวลา อีกทั้งผู้รับเหมารายย่อยเหล่านี้ไม่มีความชำนาญในระบบก่อสร้างที่ใช้ระบบสำเร็จรูป ทำให้ต้องจูงใจผู้รับเหมาให้กลับมาและต้องใช้งานก่อสร้างระบบก่ออิฐฉาบปูนเหมือนเดิม พร้อมกับต้องให้ค่าจ้างที่จูงใจมากขึ้น ขณะที่การก่อสร้างในระบบเก่ากับระบบใหม่ต้นทุนไม่แตกต่างกันมากนักเนื่องจากบริษัทฯ ยังไม่ได้เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ต้องใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปจำนวนมาก” นายชัยรัตน์กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับขึ้นราคาขายบ้านอีกเฉลี่ย 5% หลังต้นทุนรวมปรับเพิ่มขึ้น 5% ตามราคาค่าแรงและวัสดุก่อสร้าง โดยได้ทยอยปรับขึ้นราคาตั้งแต่ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา

เสนาฯ คล้องแขนรับเหมา “พรพระนคร”
แก้แรงงานขาดป้อนงานก่อสร้าง70,000-100,000 ตร.ม.

ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหารบริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปัญหาการปรับตัวของต้นทุนการก่อสร้างและการขาดแคลนแรงงานในขณะนี้บริษัทใช้วิธีการจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทรับเหมาก่อสร้าง “พรพระนคร” โดยให้บริษัทดังกล่าวรับงานก่อสร้างของบริษัททุกโครงการโดยไม่ต้องประมูลและการันตีว่าจะมีงานก่อสร้างให้ตลอดปีไม่ต่ำกว่า 70,000-100,000 ตารางเมตร ทำให้บริษัทสามารถคุมต้นทุนในระดับที่น่าพอใจและแก้ปัญหาการขาดแรงงานไปในตัวด้วย

สำหรับในช่วง 7 เดือนที่เหลือของปีนี้ เสนาฯ จะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 5 โครงการมูลค่ารวม 3,900 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ทั้งปีบริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 7 โครงการ หลังจากที่ในช่วงไตรมาสแรกมีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมไปแล้ว 2 โครงการ ส่วน 5 โครงการใหม่ที่จะเปิดในช่วงที่เหลือของปีนี้ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียมในย่านกลางเมืองติดแนวรถไฟฟ้า 4 โครงการ และโครงการบ้านเดี่ยวในย่านถนนรามอินทราอีก 1โครงการ โดยโครงการบ้านเดี่ยวจะมีระดับราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาทขึ้นไป

ส่วนกลุ่มธุรกิจรีเทล และที่อยู่อาศัยเพื่อปล่อยเช่า ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ระยะยาวของบริษัทนั้น หลังจากที่ใช้เม็ดเงินกว่า 600 ล้านบาทในการลงทุนพัฒนาโครงการ เสนา Fest ซึ่งเป็นโครงการคอมมูนิตีมอลล์บนเนื้อที่ 4 ไร่ในย่านถนนเจริญนครไปในปีที่ผ่านมา ล่าสุดมีความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้ว 40% ขณะเดียวกัน หลังจากเปิดให้ผู้ประกอบการ และผู้ค้ารายย่อยที่ต้องการเช่าพื้นที่ในโครงการดังกล่าวจองทำสัญญาเช่าพื้นที่ทำให้มียอดจองเช่าพื้นที่แล้วกว่า 70% คาดว่าสิ้นปีนี้พื้นที่ปล่อยเช่าจะสามารถขายได้หมด

“ในส่วนของธุรกิจเพื่อเช่าปีนี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ให้อยู่ที่ 10% ของรายได้รวมของบริษัท โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ที่ 3% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 5% ภายใน 3 ปีจากนี้ และเพิ่มเป็น 10% ภายใน 5 ปีจากนี้ ทั้งนี้เพื่อผลักดันรายได้จากธุรกิจเช่าให้สูงขึ้นจึงมีแผนลงทุนพัฒนาโครงการคอมมูนิตีมอลล์เพิ่มในย่านรามอินทราอีก 1 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดิน ส่วนในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้ 1,800 ล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้ 1,500 ล้านบาท โดยรายได้กว่า 70% จะมาจากการขายคอนโดมิเนียม”