“มั่นคง” แจงไตรมาสแรกปี 55 รายได้รวม 373.74 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสสุดท้ายของปี 54 61.64% เผยแม้เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 54 จะมีรายได้ลดลงถึง 7.87% แต่มีอัตรากำไรเบื้องต้นที่ดี 39.85% สูงกว่าไตรมาสแรกปี 54 เล็กน้อย หลังคุมต้นทุนจากการบริหารจัดการอย่างดีเยี่ยม
นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัท มีรายได้รับรู้จากการขายและโอนที่อยู่อาศัยและบริการรวม 373.74 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า 7.87% โดยในไตรมาส 1 ของปี 2554 บริษัทมีรายได้รวมที่ 405.68 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารายได้ของไตรมาส 1/55 จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับรายได้ของไตรมาสที่ 4 ในปี 2554 แล้วมีการปรับตัวสูงขึ้นถึง61.64%
ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 นั้นบริษัทมีรายได้รวมที่ 231.22 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่รายได้ในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วมีการปรับตัวลดลงอย่างมากเป็นผลมาจากได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ส่งผลให้ลูกค้าชะลอการซื้อและโอนที่อยู่อาศัยออกไปจำนวนมาก โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยในโซนน้ำท่วม ทำให้ในปีที่ผ่านมามีโครงการที่สามารถรับรู้รายได้เพียงบางส่วน คือ โครงการชวนชื่นเพชรเกษม, โครงการชวนชื่นโมดัส เซ็นโทร และชวนชื่นประชาอุทิศ
ส่วนในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ (backlog) ในมือรวม 1,380ล้านบาท ซึ่งมาจากโครงการบ้านจัดสรร 48% และมาจากการขายคอนโดมิเนียม 52% โดยบริษัทมีกำไรเบื้องต้นอยู่ที่ 148.93 ล้านบาทลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งมีกำไรเบื้องต้นที่ 161.44 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนหน้าซึ่งมีกำไรเบื้องต้นที่ 97.46ล้านบาท ถือว่าในไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 52.82%
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ในไตรมาสแรกของปี 55 นี้บริษัทมีกำไรปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากระบบบริหารจัดการต้นทุนของบริษัทดีขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากอัตราส่วนของกำไรเบื้องต้นในไตรมาสนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 39.85% ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับอัตรากำไรเบื้องต้นของไตรมาสแรกของปี54 ซึ่งมีอัตรากำไรเบื้องต้นที่ 39.79%
“ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทฯ ไตรมาสนี้มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเท่ากับ 93.87 ล้านบาท ลดลง 6.48% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 100.37 ล้านบาท
ทั้งนี้ เนื่องจากในปีนี้บริษัทฯ จ่ายโบนัสพนักงานน้อยกว่าปี 2554 หลังหักดอกเบี้ยและภาษีแล้วบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 45.60 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2554 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 47.00 ล้านบาท และเพิ่มสูงขึ้น 73.18% จากไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 26.33 ล้านบาท โดยอัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ประจำไตรมาส 1/2555 เท่ากับ 11.99% ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 11.41%”
นายชวนกล่าวว่า สำหรับฐานะการเงิน อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ของบริษัทฯ ในไตรมาสนี้เท่ากับ 0.39 เท่า ใกล้เคียงกับสิ้นปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 0.38 เท่า โดยมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 92.35 ล้านบาท จาก 6,773.18 ล้านบาทเป็น 6,865.53 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของหนี้สิน 46.75 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 45.60 ล้านบาท