จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่โชว์ผลประกอบการไตรมาส 1/2555
รายได้รวมเกือบ 3,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18
ธุรกิจบรอดคาสติ้งนำลิ่ว ทำรายได้เพิ่มกว่าร้อยละ 120
นางบุษบา ดาวเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2555 ว่าเริ่มฟื้นตัวจากภาวะน้ำท่วม มีรายได้รวมเท่ากับ 2,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 146 ล้านบาท
โดยกลุ่มธุรกิจบรอดคาสติ้ง ประกอบด้วย ธุรกิจขายกล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ภายใต้ชื่อ GMM Z และธุรกิจสื่อโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เป็นธุรกิจดาวเด่นที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ในไตรมาสนี้มีรายได้เท่ากับ 208 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 120 จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการเริ่มจำหน่ายกล่อง GMM Z ซึ่งได้รับการตอบรับจากบรรดาดีลเลอร์ ร้านค้า รวมถึงผู้บริโภคเป็นอย่างดี ในขณะที่การพัฒนาคอนเทนต์ในกลุ่มช่องแกรมมี่ ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทได้ร่วมกับพันธมิตรทั้งรายใหญ่และรายเล็ก ผลิตรายการที่มีคุณภาพและตรงความต้องการของผู้ชมป้อนให้ช่องแกรมมี่ ขณะเดียวกันยังมีการร่วมมือกับพันธมิตรกลุ่มใหม่ๆ ในการนำเสนอคอนเทนต์ที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์กีฬา ซึ่งปีนี้มีฟุตบอลยูโร 2012 เป็นไฮไลต์หลัก รวมถึงคอนเทนต์ด้านเอนเตอร์เทนเมนต์จากต่างประเทศ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจทีวีดาวเทียมที่มีผู้ชมทีวีผ่านจานดาวเทียมเพิ่มขึ้น ขณะที่เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อฟรีทีวีมูลค่า 60,000 ล้านบาท ก็เริ่มไหลเข้าสู่ทีวีดาวเทียมมากขึ้น ซึ่งคาดว่าในปีนี้กลุ่มธุรกิจบรอดคาสติ้งของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน
สำหรับธุรกิจเดิมของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเพลง ธุรกิจสื่อ หรือธุรกิจภาพยนตร์ ยังคงรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจภาพยนตร์ ในไตรมาสแรกของปีนี้ทำรายได้ 127 ล้านบาท มีภาพยนตร์เข้าฉาย 1 เรื่อง คือ “ATM เออรัก เออเร่อ” ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง สามารถทำรายได้ box office ถึง 150 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายวีซีดี และดีวีดีในไตรมาสถัดมา ส่วนธุรกิจสื่อ ประกอบด้วย วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ และกิจกรรมทางการตลาด ในไตรมาสนี้ค่อยๆ ฟื้นตัวจากเหตุการณ์น้ำท่วมจากช่วงปลายปี 2554 ที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้รวมของธุรกิจสื่อในไตรมาสแรกมีรายได้ถึง 1,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากปีก่อน โดยเฉพาะธุรกิจสื่อจากกิจกรรมทางการตลาด ซึ่งมีการเลื่อนจัดงาน BOI FAIR มาจากไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนมาในไตรมาสนี้ ซึ่งมีมูลค่าถึง 200 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจเพลง ประกอบด้วย การจำหน่ายสินค้าเพลง (Physical products) การจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ การจำหน่ายสินค้าเพลงในรูปแบบดิจิตอล และการจัดแสดงในรูปแบบคอนเสิร์ตและละครเวที ไตรมาสแรกมีรายได้รวม 976 ล้านบาท โดยไตรมาสนี้มีจำนวนอัลบั้มเพลงออกใหม่ทั้งหมด 75 อัลบั้ม ส่วนการจัดคอนเสิร์ตมีจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากหลายคอนเสิร์ตถูกเลื่อนมาจากช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 ขณะที่ละครเวที มีการแสดงเรื่อง “สี่แผ่นดิน เดอะ มิวสิคคัล” ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ชมอย่างล้นหลามด้วยรอบการแสดงถึง 100 รอบ ส่งผลให้ธุรกิจโชว์บิซในไตรมาสนี้มีการเติบโตเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่นั้น ยังคงมุ่งเน้นในการขยายธุรกิจบรอดคาสติ้งอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอคอนเทนต์ที่ชื่นชอบและตรงความต้องการของผู้ชม ภายใต้ Platform GMM Z โดยมีการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 เป็นตัวผลักดันให้ยอดขายกล่อง GMM Z เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็จะมีการนำเสนอบริการเสริมด้วย 2 แพกเกจหลัก คือ แพกเกจเอนเตอร์เทนเมนต์ 4 ช่อง ราคา 200 บาท/30 วัน และแพกเกจกีฬา 5 ช่อง ราคา 300 บาท/30 วัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กลุ่มธุรกิจบรอดคาสติ้งของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และจะส่งผลต่ออัตราค่าโฆษณาในตลาดทีวีดาวเทียมที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย