“ไฮไฟ” สยายปีกรับบริหารอินเตอร์แบรนด์เพิ่มขึ้น ปีนี้จ่อเพิ่มอีก 3 แบรนด์ ประเดิม เมย์แท็ก จากอเมริกา ลุยกลุ่มเครื่องซักผ้าช่องทางอุตสาหกรรม ส่วนปลายปีเตรียมอีก 2 แบรนด์กลุ่มตู้เย็นและเครื่องดูดฝุ่น ด้านอะโคเนติกมาแนวแฟชั่น ซื้อลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์มิกกี้เมาส์ลงบนเครื่องเล่นพกพาขยายตลาด
นายไมเคิล มกร หลินสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮไฟ โอเรียนท์ ไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ “อะโคเนติก” และอินเตอร์แบรนด์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะขยายธุรกิจทั้งในส่วนของแบรนด์ตัวองคือ “อะโคเนติก” และการรับบริหารอินเตอร์แบรนด์ รวมทั้งการลงทุนในต่างประเทศด้วย ซึ่งปีนี้คาดว่าต้องใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ทั้งการนำสินค้าเข้ามาจำหน่าย การเพิ่มศูนย์บริการที่ปัจจุบันมีกว่า 100 แห่ง เป็นต้น โดยใช้งบตลาด 3% จากยอดขาย
โดยในส่วนของธุรกิจรับบริหารอินเตอร์แบรนด์นั้นวางเป้าหมายชัดเจนที่จะรับเป็นผู้ทำตลาดหรือตัวแทนจำหน่ายรายเดียวในไทยของแบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดในแต่ละเซกเมนต์อยู่แล้ว ซึ่งปีนี้วางแผนที่จะขยายไลน์สินค้าอีกอย่างต่ำ 3 กลุ่มสินค้าใน 3 แบรนด์หลัก ซึ่งล่าสุดได้สรุปเรียบร้อยแล้ว 1 แบรนด์คือ “MAYTAG” ของอเมริกา ในกลุ่มเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดเครื่องซักผ้าอุตสาหกรรมอยู่แล้ว แบรนด์นี้จะนำเข้ามาในไทยเจาะตลาดช่องทางที่เป็นอุตสาหกรรมใหญ่ เช่น โรงพยาบาล โรงงาน เป็นต้น คาดว่าเปิดตัวได้เดือนพฤษภาคมนี้
ขณะที่อีก 2 แบรนด์นั้นก็มาจากอเมริกาและเป็นผู้นำในตลาดเช่นกัน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยแบรนด์ใด้ โดยเป็นสินค้ากลุ่มเครื่องดูดฝุ่นหนึ่งแบรนด์ และสินค้ากลุ่มตู้เย็นหนึ่งแบรนด์ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ประมาณปลายปีนี้
ส่วนอินเตอร์แบรนด์เดิมที่รับสิทธิ์จัดจำหน่ายอยู่นั้นคือ แบรนด์เวิร์ลพูล จากอเมริกาในกลุ่มสินค้าไวท์กู้ดพวก ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เป็นต้น ซึ่งสินค้าทั้งหมดนำเข้าจากอเมริกา ทำตลาดมานาน 6 ปีแล้ว ขณะที่อีก 2 แบรนด์ที่เหลือ คือ เพนโซนิค และเลอเบนสตีล ซึ่งสองแบรนด์นี้ยอดขายยังไม่มากเมื่อเทียบกับแบรนด์เวิร์ลพูล
อย่างไรก็ตาม การขยายสินค้าและแบรนด์ใหม่นั้นจะไม่มีความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกันเองกับสินค้าแบรนด์เก่าที่ทำตลาดอยู่แล้วเพราะจะเป็นตลาดคนละกลุ่มกัน เช่น เครื่องซักผ้าเวิร์ลพูลเจาะกลุ่มเอนด์ยูสเซอร์เป็นหลัก ส่วนเครื่องซักผ้าเมย์แท็กจับกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นหลัก
สำหรับแบรนด์ “อะโคเนติก” ของบริษัทฯ เองนั้นจะรุกตลาดต่อเนื่อง ล่าสุดในโอกาสที่บริษัทครบรอบ 20 ปี ได้ร่วมมือกับทางบริษัท ฟันคาแรคเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ FCI ผู้บริหารลิขสิทธิ์ดิสนีย์ในประเทศไทย พัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น ด้วยการนำคาแรกเตอร์ของดิสนีย์มาใส่ไว้บนเครื่องเล่นดีวีดีแบบพกพา (Portable DVD) รุ่นดิสนีย์ ซึ่งเป็นลิมิเต็ดเอดิชัน โดยช่วงแรกนำ 2 คาแรกเตอร์ดังคือ มิกกี้เมาส์ และมินนี่เม้าส์ มาใช้
ทั้งนี้ จะออกสินค้ารุ่นใหม่รุ่นดิสนีย์รวม 3 รุ่น จำกัดรุ่นละ 2,000 เครื่องเท่านั้น รวม 6,000 เครื่อง ราคาตั้งแต่ 3,900-4,900 บาท ซึ่งเป็นราคาเดิมที่วางจำหน่ายอยู่ไม่ได้ปรับขึ้นแต่อย่างใด หากได้รับการตอบรับที่ดีจะออกรุ่นใหม่เพิ่มเติมอีก
นายไมเคิลกล่าวว่า ช่วง 4 ปีมานี้ธุรกิจเรามีอัตราการเติบโตที่น่าพอใจ ซึ่งเป็นผลมาจากแผนตลาดเชิงรุกในกลุ่มของตลาดเครื่องเล่นดีวีดีแบบพกพา ซึ่งตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นตลาดใหญ่ที่มีมูลค่ามากถึง 80,000 ล้านบาท และเราก็เป็นผู้นำในตลาดเครื่องเล่นแบบพกพา 1 ใน 3 แบรนด์ของหมวดนี้
ส่วนตลาดต่างประเทศก็จะมีการขยายสินค้าไปจำหน่าย โดยเฉพาะแบรนด์อะโคเนติก โดยเฉพาะที่พม่าถือเป็นตลาดที่เติบโตดี
สำหรับรายได้ปีที่แล้วของบริษัทฯ เติบโต 27% โดยกลุ่มที่เติบโตมากที่สุดคือ เครื่องเล่นทีวี ดีวีดีแบบพกพามากถึง 30% และถือเป็นแบรนด์ผู้นำในตลาดด้วย โดยสัดส่วนรายได้มาจากอะโคเนติก 60% และอินเตอร์แบรนด์ 40% อย่างไรก็ตาม อนาคตสัดส่วนจะเท่ากันคือ 50% จากช่องทางจำหน่ายที่บริษัทฯ มีมากครอบคลุมทั่วประเทศผ่านทางไฮเปอร์มาร์เกต ดีพาร์ตเมนต์สโตร์ และดีลเลอร์ ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ 20% โดยแบรนด์อะโคเนติกเติบโต 30%