xs
xsm
sm
md
lg

“มอสเบอร์เกอร์” ปรับโลโก้ มุ่งอัปบริการ-รายได้ร้านเดิม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - “มอสเบอร์เกอร์” ปรับโลโก้ใหม่เหมือนทั่วโลก เปิดแผนปีนี้ ไม่เน้นขยายสาขาใหม่ มุ่งปรับปรุงบริการและคุณภาพสาขาเดิมที่ดีแล้วให้ดียิ่งขึ้น พร้อมอัดแคมเปญใหม่ทุก 2 เดือนออกเมนูใหม่ต่อเนื่อง กระตุ้นการตลาด คาดค่าใช้จ่ายต่อบิลเพิ่ม 10%

นายยาสึมาสะ อาซาอิ ประธานกรรมการ บริษัท มอส ฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านมอสเบอร์เกอร์ของญี่ปุ่นในไทย เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปีนี้ของบริษัทฯ จะมุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายและการบริการสาขาเดิมให้ดียิ่งขึ้น ส่วนการขยายสาขาใหม่นั้นยังไม่มีแผน แต่อย่างไรก็ตาม หากมีทำเลที่ดีและจังหวะที่เหมาะสมก็จะพิจารณาลงทุนเปิดสาขาใหม่

จากปัจจุบันมอสเบอร์เกอร์มีสาขาเปิดบริการรวม 7 แห่ง คือ เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลชิดลม สยามพารากอน  ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ดิเอ็มโพเรียม  ยูไนเต็ดเซ็นเตอร์ และเทอร์มินัล21  ซึ่ง 2 สาขาหลังสุดเปิดเมื่อปีที่แล้ว  ซึ่งเป็นการลงทุนของบริษัทฯเองทั้งหมดยังไม่มีการขายแฟรนไชส์แต่อย่างใด
 
นอกจากนั้น ในวันที่ 1 พฤษภาคม บริษัทฯ ยังได้ทำการปรับเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าในไทยใหม่  ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของมอสที่ใช้กันทั่วโลก เช่น ที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง  จีน สิงคโปร์ อินโดนีเซี  ออสเตรเลีย เกาหลีใต้  ซึ่งไทยจะทยอยปรับเปลี่ยนป้ายร้าน สื่อโฆษณา บรรจุภัณฑ์ต่างๆ ภายในร้านให้เป็นโลโก้ใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าด้วยการพัฒนาด้านการบริการ ความอร่อย ความใส่ใจเมนูรักสุขภาพ และความปลอดภัย  

รวมทั้งการทำตลาดต่อเนื่องด้วยงบ 3 ล้านบาท โดยจะออกแคมเปญใหญ่ทุก 2 เดือน ส่วนเมนูใหม่ก็จะมีออกมาต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัวเมนูใหม่พร้อมกันวันที่ 1 พฤษภาคมพร้อมกับโลโก้ใหม่ 4 เมนู คือ 1. นิวพรีเมียม บีฟ เบอร์เกอร์ ราคา 109 บาท หรือชุดละ 159 บาท โดยใช้วัตถุดิบเนื้อวัวจากกำแพงแสน 2. พรีเมียมพอร์กเบอร์เกอร์ ราคาชิ้นละ 109 บาท หรือชุดละ 159 บาท โดยใช้เนื้อหมูจากระบบเอสฟีเอฟ คือการเลี้ยงสัตว์ให้ปลอดจากเชื้อโรค 3. เฟรนช์ฟรายแอนด์อันเนียนริง ราคา 43 บาทต่อถุง และอันเนียนริง ราคา 53 บาท ต่อถุง 4. ไอศกรีม Haupia Sunday ราคา 69 บาท ชุดคู่กับเครื่องดื่ม 99 บาท

บริษัทฯ มั่นใจว่าปีนี้จะมีการเติบโตที่ดี จากปีที่แล้วที่รายได้เติบโตถึง 120% เนื่องจากช่วงปี 2553 บริษัทฯ ต้องปิดสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ไปนานกว่า 1 ปี และปิดสาขาเซ็นทรัลชิดลมไปเกือบ 2 เดือน จากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองและม็อบปิดถนน จนทำให้ปีนั้นรายได้ถูกกระทบอย่างมาก

แต่ปีนี้แนวโน้มสถานการณ์ต่างๆ น่าจะดีขึ้น รวมทั้งการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทจะเป็นส่วนที่ช่วยเอื้อให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งนอกจากระดับล่างได้รับเงินเพิ่มขึ้นแล้ว ในระดับถัดมาจะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนไปเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันลูกค้าเข้ามาใช้จ่ายในร้านประมาณ 175 บาทต่อบิลต่อครั้ง คาดว่าจากนี้จะเพิ่มเป็น 185 บาทต่อบิลต่อครั้ง หรือประมาณ 10% ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าเป็นคนไทยปรมาณ 85% ต่างชาติ 10% ญี่ปุ่น 5% คาดว่าปีนี้จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการประมาณ 100,000 คนต่อปี

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ต้นทุนการผลิตได้ปรับตัวสูงขึ้นอันเนื่องมาจากวัตถุดิบมีการปรับราคาขึ้น ค่าพลังงานเชื้อเพลิงก็สูงขึ้นเช่นกันเฉลี่ย 10% แต่บริษัทฯ ยังไม่มีการปรับราคาขึ้นในช่วงนี้หลังจากที่ได้มีการปรับราคาไปก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วเฉลี่ย 10 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น