“เอทีพีเอฟ” ผนึกชาติพันธมิตรเอเชียเผชิญหน้าความท้าทายเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมรับมือเพื่อเพิ่มศักยภาพของเอเชียผลักดันเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก” เผยการค้าเอเชียเพิ่มทุกปี คาดประกาศแผนความร่วมมือหลายโปรเจกต์รองรับ
นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานเปิดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนเทรดโปรโมชันฟอรัม (Asian Trade Promotion Forum (ATPF) CEO Meeting) ครั้งที่ 25 ระหว่างวันที่ 19-20 เมษายน 2555 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ว่า ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียจะเอาชนะความท้าทายในอนาคต” (Asian Economic Collaboration to Overcome Future Challenges) เพื่อผลักดันให้เอเชียเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกอย่างแท้จริง ซึ่งครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานส่งเสริมการค้าชั้นนำในเอเชียจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เศรษฐกิจและการค้าของประเทศในเอเชียมีการพัฒนาขยายตัวอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของโลกในปัจจุบันได้ส่งผลให้ภูมิภาคของเราต้องเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้านทั้งภายใน และภายนอกประเทศที่มีความผันผวน ซับซ้อน และคาดการณ์ผลกระทบได้ยากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก กฎกติกาใหม่หลายด้านที่ส่งผลให้ทุกประเทศต้องปรับตัว หรือแม้แต่การก้าวสู่ระบบเศรษฐกิจโลกแบบหลายศูนย์อำนาจ ตลอดจนความก้าวหน้าของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่ล้วนส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการดำรงชีวิตของประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ
“สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นโจทย์สำคัญที่ทุกประเทศต้องร่วมกันคิดและแสวงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา ตลอดจนเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นร่วมกัน และทุกท่านย่อมมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจให้กับภูมิภาค และผลักดันให้เศรษฐกิจของเอเชียเติบโตได้อย่างมั่นคง ความร่วมมือระหว่างกันอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของทุกหน่วยงานจะเป็นการผนึกกำลังของประเทศ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้กับภูมิภาคเอเชียในเวทีการค้าระดับโลกต่อไป” นายภูมิกล่าว
นายภูมิกล่าวว่า ไทยรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่การประชุม ATPF ในปีนี้ได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศและภูมิภาค โดยมุ่งเน้นประเด็นการพัฒนาผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ให้มีคุณภาพ ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมๆ ไปกับการเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจด้วยฐานความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์บนพื้นฐานการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องโดยตรงกับจุดมุ่งหมายของนโยบายรัฐบาลไทย คือ การนำพาประเทศไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจที่สมดุล มีความเข้มแข็งมากขึ้น และพร้อมจะก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) อย่างสมบูรณ์ ในปี 2558
ขณะเดียวกัน ยังสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตามที่บรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ที่มุ่งยึดหลัก “คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา” มาเป็นแนวทางในการบริหารและพัฒนาประเทศ โดยเร่งสร้าง “ระบบภูมิคุ้มกัน” สร้างความเข้มแข็งของทุนที่มีอยู่ และการบริหารจัดการความเสี่ยงให้พร้อมรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงรอบด้าน ซึ่งจะเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายต่อการพัฒนาของทุกประเทศในเอเชีย
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้เอเชียเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก ส่งเสริมความร่วมมือให้เกิดการค้าระหว่างประเทศสมาชิก เป็นเวทีให้ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของประเทศสมาชิกแสดงวิสัยทัศน์ แบ่งปันประสบการณ์ ความรู้ และหารือเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศหรือประเด็นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกำหนดนโยบายแนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก และแผน หรือโครงการความร่วมมือในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศสมาชิกในอนาคต โดยมีเจโทร (JETRO) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขาธิการ
”ประเทศผู้นำและประเทศกำลังพัฒนาต่างให้ความสนใจขึ้นอภิปรายในหัวข้อดังกล่าวอย่างมาก โดยมีผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วม 21 ประเทศจาก 24 ประเทศตอบรับการเข้าร่วมประชุมฯแล้ว การประชุมนี้สอดรับภารกิจของกรมฯ ในอันที่จะส่งเสริมการพัฒนาสินค้าและธุรกิจบริการบนพื้นฐานของการสร้างมูลค่าเพิ่ม นวัตกรรม โดยเน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าระหว่างประเทศ” นางนันทวัลย์กล่าว
ทั้งนี้ กรมฯ ได้เชิญเลขาธิการอาเซียน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ กล่าวสุนทรพจน์ภายใต้แนวคิด ดังกล่าว และเป็นองค์ปาฐกพิเศษ เรื่อง “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเอเชียเพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต”
ส่วนประเด็นที่จะร่วมกันอภิปรายของสมาชิกมี 2 หัวข้อ คือ 1. บทบาทขององค์กรส่งเสริมการค้าในการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อรองรับความท้าทายในอนาคต และ 2. เตรียมความพร้อมด้านการค้า/บริการสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)
สำหรับประเด็น SMEs กรมฯ ได้นำเสนอข้อมูลพื้นฐานของผู้ประกอบการ SMEs ไทย ปัญหาและอุปสรรค พร้อมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการค้าต่างๆ ที่กรมฯ ให้การสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยใช้การดำเนินธุรกิจการค้าออนไลน์เป็นช่องทางทางการค้าที่มีประสิทธิผล โดยกรมฯ ได้จัดทำเว็บไซต์ www.thaitrade.com เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยได้ใช้เป็นช่องทางการค้ากับประเทศคู่ค้าต่างๆ ทั่วโลก โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือนำเสนอการใช้ตราสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark (TTM) ที่รับประกันคุณภาพมาตรฐานของสินค้าไทยที่จะเผยแพร่และได้รับการยอมรับไปทั่วโลก เป็นต้น
นอกจากนี้ ประเทศพม่าได้เข้าร่วมงานในฐานะประเทศผู้สังเกตการณ์เป็นครั้งแรก ซึ่งหากประเทศไทยสามารถใช้เวทีดังกล่าวในการเจรจากับประเทศพม่าได้ ก็จะช่วยเปิดโอกาสในการทำการค้า การลงทุน และใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบได้ง่ายขึ้น เพราะพม่าเปิดประเทศเพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ขณะที่พม่าก็สามารถทำการค้า การลงทุนกับไทยได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
สำหรับความสำคัญของเอเชียนั้น จากสถิติมูลค่าการค้าในภูมิภาคเอเชียขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปีจากปี 2552-2554 มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 1.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ 2.57 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และ 3.13 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ โดยเมื่อปี 2554 มูลค่าการส่งออกสูงถึง 1.49 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (4.52 ล้านล้านบาท) ขยายตัวเพิ่มขึ้น 22% ขณะที่มูลค่าการนำเข้า 1.63 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (4.99 ล้านล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้น 8.3%
การประชุมผู้บริหารระดับสูงองค์กรส่งเสริมการค้าของประเทศ/เขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 เมษายน 2555 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งกรมส่งเสริมการส่งออกรับเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ได้รับเป็นเจ้าภาพในครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยมีตัวแทนองค์กรส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศทั้ง 23 ประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย บังกลาเทศ บรูไน กัมพูชา ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม เป็นต้น
นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานเปิดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนเทรดโปรโมชันฟอรัม (Asian Trade Promotion Forum (ATPF) CEO Meeting) ครั้งที่ 25 ระหว่างวันที่ 19-20 เมษายน 2555 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ว่า ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียจะเอาชนะความท้าทายในอนาคต” (Asian Economic Collaboration to Overcome Future Challenges) เพื่อผลักดันให้เอเชียเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกอย่างแท้จริง ซึ่งครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานส่งเสริมการค้าชั้นนำในเอเชียจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เศรษฐกิจและการค้าของประเทศในเอเชียมีการพัฒนาขยายตัวอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของโลกในปัจจุบันได้ส่งผลให้ภูมิภาคของเราต้องเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้านทั้งภายใน และภายนอกประเทศที่มีความผันผวน ซับซ้อน และคาดการณ์ผลกระทบได้ยากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก กฎกติกาใหม่หลายด้านที่ส่งผลให้ทุกประเทศต้องปรับตัว หรือแม้แต่การก้าวสู่ระบบเศรษฐกิจโลกแบบหลายศูนย์อำนาจ ตลอดจนความก้าวหน้าของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่ล้วนส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการดำรงชีวิตของประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ
“สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นโจทย์สำคัญที่ทุกประเทศต้องร่วมกันคิดและแสวงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา ตลอดจนเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นร่วมกัน และทุกท่านย่อมมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจให้กับภูมิภาค และผลักดันให้เศรษฐกิจของเอเชียเติบโตได้อย่างมั่นคง ความร่วมมือระหว่างกันอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของทุกหน่วยงานจะเป็นการผนึกกำลังของประเทศ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้กับภูมิภาคเอเชียในเวทีการค้าระดับโลกต่อไป” นายภูมิกล่าว
นายภูมิกล่าวว่า ไทยรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่การประชุม ATPF ในปีนี้ได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศและภูมิภาค โดยมุ่งเน้นประเด็นการพัฒนาผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ให้มีคุณภาพ ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมๆ ไปกับการเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจด้วยฐานความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์บนพื้นฐานการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องโดยตรงกับจุดมุ่งหมายของนโยบายรัฐบาลไทย คือ การนำพาประเทศไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจที่สมดุล มีความเข้มแข็งมากขึ้น และพร้อมจะก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) อย่างสมบูรณ์ ในปี 2558
ขณะเดียวกัน ยังสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตามที่บรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ที่มุ่งยึดหลัก “คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา” มาเป็นแนวทางในการบริหารและพัฒนาประเทศ โดยเร่งสร้าง “ระบบภูมิคุ้มกัน” สร้างความเข้มแข็งของทุนที่มีอยู่ และการบริหารจัดการความเสี่ยงให้พร้อมรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงรอบด้าน ซึ่งจะเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายต่อการพัฒนาของทุกประเทศในเอเชีย
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้เอเชียเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก ส่งเสริมความร่วมมือให้เกิดการค้าระหว่างประเทศสมาชิก เป็นเวทีให้ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของประเทศสมาชิกแสดงวิสัยทัศน์ แบ่งปันประสบการณ์ ความรู้ และหารือเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศหรือประเด็นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกำหนดนโยบายแนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก และแผน หรือโครงการความร่วมมือในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศสมาชิกในอนาคต โดยมีเจโทร (JETRO) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขาธิการ
”ประเทศผู้นำและประเทศกำลังพัฒนาต่างให้ความสนใจขึ้นอภิปรายในหัวข้อดังกล่าวอย่างมาก โดยมีผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วม 21 ประเทศจาก 24 ประเทศตอบรับการเข้าร่วมประชุมฯแล้ว การประชุมนี้สอดรับภารกิจของกรมฯ ในอันที่จะส่งเสริมการพัฒนาสินค้าและธุรกิจบริการบนพื้นฐานของการสร้างมูลค่าเพิ่ม นวัตกรรม โดยเน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าระหว่างประเทศ” นางนันทวัลย์กล่าว
ทั้งนี้ กรมฯ ได้เชิญเลขาธิการอาเซียน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ กล่าวสุนทรพจน์ภายใต้แนวคิด ดังกล่าว และเป็นองค์ปาฐกพิเศษ เรื่อง “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเอเชียเพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต”
ส่วนประเด็นที่จะร่วมกันอภิปรายของสมาชิกมี 2 หัวข้อ คือ 1. บทบาทขององค์กรส่งเสริมการค้าในการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อรองรับความท้าทายในอนาคต และ 2. เตรียมความพร้อมด้านการค้า/บริการสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)
สำหรับประเด็น SMEs กรมฯ ได้นำเสนอข้อมูลพื้นฐานของผู้ประกอบการ SMEs ไทย ปัญหาและอุปสรรค พร้อมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการค้าต่างๆ ที่กรมฯ ให้การสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยใช้การดำเนินธุรกิจการค้าออนไลน์เป็นช่องทางทางการค้าที่มีประสิทธิผล โดยกรมฯ ได้จัดทำเว็บไซต์ www.thaitrade.com เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยได้ใช้เป็นช่องทางการค้ากับประเทศคู่ค้าต่างๆ ทั่วโลก โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือนำเสนอการใช้ตราสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark (TTM) ที่รับประกันคุณภาพมาตรฐานของสินค้าไทยที่จะเผยแพร่และได้รับการยอมรับไปทั่วโลก เป็นต้น
นอกจากนี้ ประเทศพม่าได้เข้าร่วมงานในฐานะประเทศผู้สังเกตการณ์เป็นครั้งแรก ซึ่งหากประเทศไทยสามารถใช้เวทีดังกล่าวในการเจรจากับประเทศพม่าได้ ก็จะช่วยเปิดโอกาสในการทำการค้า การลงทุน และใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบได้ง่ายขึ้น เพราะพม่าเปิดประเทศเพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ขณะที่พม่าก็สามารถทำการค้า การลงทุนกับไทยได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
สำหรับความสำคัญของเอเชียนั้น จากสถิติมูลค่าการค้าในภูมิภาคเอเชียขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปีจากปี 2552-2554 มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 1.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ 2.57 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และ 3.13 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ โดยเมื่อปี 2554 มูลค่าการส่งออกสูงถึง 1.49 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (4.52 ล้านล้านบาท) ขยายตัวเพิ่มขึ้น 22% ขณะที่มูลค่าการนำเข้า 1.63 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (4.99 ล้านล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้น 8.3%
การประชุมผู้บริหารระดับสูงองค์กรส่งเสริมการค้าของประเทศ/เขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 เมษายน 2555 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งกรมส่งเสริมการส่งออกรับเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ได้รับเป็นเจ้าภาพในครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยมีตัวแทนองค์กรส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศทั้ง 23 ประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย บังกลาเทศ บรูไน กัมพูชา ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม เป็นต้น