ผู้เชี่ยวชาญ “พลังงาน” ติง รบ.ทบทวน ตั้งกองทุนสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ ชี้ ไทยสำรองน้ำมัน 60 วัน เหมาะสมฐานะ ศก.แล้ว ระบุ การขยายเพิ่ม 90 วัน ใช้งบสูง-ยังไม่จำเป็น ตลาดโลกยังไม่ถึงขั้นขาดแคลน ยืนยัน ประเทศพัฒนาแล้วทำได้ เพราะกำหนดให้สอดคล้องกับ ศก.ตนเอง พร้อมเรียกร้อง ทบทวนการปรับโครงสร้าง “เอ็นจีวี-แอลพีจี”
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงพลังงาน เตรียมจ้างบริษัทที่ปรึกษาศึกษาแนวทางความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ โดยมองว่า การเพิ่มสำรองน้ำมันสำหรับประเทศไทย ยังไม่ใช่เรื่องจำเป็น พร้อมยืนยันว่า การสำรองน้ำมันในปัจจุบันที่ 60 วัน เหมาะสมกับฐานะเศรษฐกิจของประเทศแล้ว
ดังนั้น การที่จะกำหนดนโยบายเพื่อเพิ่มสำรองน้ำมันเป็น 90 วัน อาจทำให้ประเทศไทยต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากโดยไม่จำเป็น และสถานการณ์น้ำมันในตลาดโลก ก็ยังไม่ถึงขั้นขาดตลาด
นายมนูญ กล่าวเสริมว่า การที่ประเทศพัฒนาแล้วจะมีการสำรองน้ำมัน 90 วัน อาจทำได้เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ส่วนการศึกษาโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ใหม่นั้น มองว่า ราคาอาจปรับลดลงได้บ้าง แต่ราคาก๊าซเอ็นจีวีที่อยู่นอกแนวท่อส่งก๊าซจะไม่ต่ำกว่า 14 บาทต่อกิโลกรัม อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ การศึกษาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) อัตราใหม่ ซึ่งทางกระทรวงพลังงาน ส่งสัญญาณว่าจะยังไม่ใช่ราคาเดียว โดยจะอุดหนุนราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนต่อไปนั้น ถือเป็นเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ต้องดูว่าจะหาเงินจากส่วนไหน เข้ามาชดเชยราคา เพราะฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ยังคงติดลบกว่า 2 หมื่นล้านบาท
นายมนูญ ยังตั้งคำถามอีกว่า หากต้นทุนราคาแอลพีจีในตลาดโลกไม่ปรับลดลง ขณะที่การใช้ภายในประเทศยังเติบโต รัฐบาลจะทำอย่างไร ซึ่งมองว่า สุดท้ายแล้วแนวทางที่ถูกต้อง ภาครัฐควรจะทยอยลดการอุดหนุนลง เพื่อให้ราคาสะท้อนต้นทุน
ทั้งนี้ ในส่วนของโครงสร้างราคาน้ำมันเบนซิน และ ดีเซล เชื่อว่า ภาครัฐจะยังมีการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในส่วนของน้ำมันเบนซินต่อไป ขณะแก๊สโซฮอล์ และ ดีเซล ยังคงชะลอการจัดเก็บจนกว่าสถานการณ์น้ำมันในตลาดโลกจะปรับลดลง
