แบงก์ใบโพธิ์ ชี้ ศก.ไตรมาส 4 เจอผลกระทบ “ซัปพลายช็อก” ฉุด “จีดีพี” ติดลบ 4.2% พร้อมคาดประชุม กนง. 30 พ.ย.นี้ หั่น ดบ.ลง 0.25% เพื่อพยุง ศก. แม้ปัญหาที่เกิดขึ้น จะควบคุมโดยนโยบายการเงินไม่ได้ แต่สามารถช่วยบรรเทาได้ นายก ส.ค้าปลีกฯ คาดหลังน้ำลด “ซัปพลายเออร์” จะยังสามารถจัดหาสินค้าคืนสู่ช่องทางจำหน่ายร้านค้าปลีกได้มากขึ้น แม้กำลังการผลิตในภาพรวมยังไม่ปกติ ด้านเซเว่นฯ ยันระบบสต็อก-การกระจายสินค้า เริ่มดีซึ้น
ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB มองว่าในไตรมาส 4/54 เศรษฐกิจจะหดตัวที่ 4.2% จากไตรมาสก่อนหน้า จากวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตของนิคมอุตสาหกรรมรวมถึงภาคการเกษตร โดยเฉพาะข้าวที่ได้รับเสียหาย และภาคบริการทั้งภาคท่องเที่ยวและลอจิสติกส์ ทำให้ปี 2554 ทั้งปีคาดว่าจีดีพีไทยจะขยายตัวได้เพียง 1.8% จากเดิมคาดโต 4.75% ซึ่งประเมินก่อนเกิดวิกฤตน้ำท่วม
ส่วนแนวโน้มปี 2555 คาดว่าเศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้รวดเร็วขยายตัวที่ 4.5% โดยช่วงครึ่งปีแรกจะมีแรงส่งจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนภาคเอกชน แต่ประเมินว่าการลงทุนในส่วนของต่างประเทศในครึ่งแรกปี 2555 จะมีการชะลอตัวเนื่องจากต้องประเมินความเสียหายจากน้ำท่วมและดูความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
สำหรับในไตรมาส 1/2555 มองว่าเศรษฐกิจยังเป็นบวกแม้ไตรมาส 4/54 เศรษฐกิจจะหดตัวค่อนข้างมาก ประเมินทั้งปี 55 เศรษฐกิจจะโต 4.25% แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมาตรการภาครัฐที่จะมีการลงทุนและงบฯใช้จ่ายมากน้อยแค่ไหนส่วนภาคเอกชนจะมีการลงทุน restcoking
ทั้งนี้ คาดการณ์การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 น่าจะมีการลดดอกเบี้ยลง 0.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.50% และปี 2555 ยังจะทยอยลดดอกเบี้ยอีก 0.50-0.75% เพื่อพยุงเศรษฐกิจที่เกิดซัพพลายช็อกที่มีปัญหา ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวการลดดอกเบี้ยของ กนง.ไม่สามารถควบคุมซัพพลายช็อกได้ เพราะการเกิดซัปพลายช็อกเป็นสถานการณ์ที่ควบคุมด้วยนโยบายการเงินไม่ได้ แต่นโยบายการเงินสามารถช่วยได้
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ภาคกลางของประเทศและกรุงเทพมหานคร (กทม.) นับตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน 2554 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2554 โดยคาดว่าในช่วงหลังน้ำลดลง หรือเข้าสู่ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในด้านกำลังซื้อจะยังไม่เลวร้ายมากนัก
หลังจากที่สถานการณ์น้ำเริ่มคลี่คลาย โดยเจ้าของสินค้าหรือผู้ผลิต (ซัปพลายเออร์) จะยังสามารถจัดหาสินค้าคืนสู่ช่องทางจำหน่ายร้านค้าปลีกได้มากขึ้นสัดส่วน 70-80% เนื่องจากกำลังการผลิตในภาพรวมยังไม่ปกติ ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น โดยจะเน้นซื้อกลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้างเพื่อการซ่อมแซม หรือของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมากกว่า
ขณะที่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย หรือแฟชั่น อาจมีความต้องการลดลงไปเล็กน้อยไม่คึกคักเท่ากับช่วงปกติ ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีกและเจ้าของสินค้าต้องปรับตัวในการจัดกิจกรรมการตลาดในช่วงปลายปีต้นปีหน้านี้ ซึ่งการจัดแคมเปญโปรโมชันของผู้ประกอบการแต่ละรายจะมีความเข้มข้นขึ้น เพื่อดึงดูดกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงที่มีการระมัดระวังการจับจ่ายซื้อสินค้าเพื่อความจำเป็นอันดับแรก
นอกจากนี้ ในส่วนของเม็ดเงินโฆษณาและการทำตลาดยังอาจจะลดลงไป ซึ่งเป็นไปตามสัดส่วนยอดขายสินค้าที่หายไป และไม่สามารถทำตลาดได้ปกติในช่วงภาวะน้ำท่วมที่เกิดขึ้น ซึ่งกินระยะเวลานานร่วม3 เดือน ที่กระทบอารมณ์การจับจ่ายซื้อสินค้าของผู้บริโภค
ขณะที่เม็ดเงินจากการจัดกิจกรรมการตลาดที่ลดลงของผู้ประกอบการธุรกิจบางรายนั้น เชื่อว่าจะยังมีการปรับกลยุทธ์ใหม่โดยจะมุ่งให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ณ จุดขายหรือไม่ผ่านสื่อ (บีโลว์เดอะไลน์)มากขึ้น ทดแทนจากการโฆษณาผ่านสื่อ (อะโบฟเดอะไลน์) ซึ่งเจ้าของสินค้ามีการบริหารงบลงทุนใหม่
สำหรับภาพรวมค้าปลีกในปี 2554 นี้ คาดว่ามีอัตราการเติบโต 6% แต่หากปัญหาน้ำท่วมยังลากยาวเลยเดือนพฤศจิกายน 2554 อาจเติบโตลดลงจากตัวเลขดังกล่าว จากเดิมที่ประมาณการว่าภาพรวมค้าปลีกในประเทศจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7-8%
ด้าน นายบัญญัติ คำนูณวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ผู้ดำเนินธุรกิจร้านเซเว่นอีเลฟเว่น กล่าวว่า บริษัทได้ปิดสาขาชั่วคราวประมาณ 600 แห่ง จากสาขาทั้งหมด 6,300 แห่งทั่วประเทศ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เขต กทม. และปริมณฑล แต่ยืนยันว่ารายได้ในปีนี้ จะยังคงเติบโตเป็นไปตามเป้าหมาย 15% แม้ว่ายอดขายจะลดลงจากการปิดสาขา แต่สาขาที่เปิดให้บริการยังมียอดขายที่เติบโตอยู่ในระดับที่ดี ทำให้สามารถชดเชยยอดขายที่สูญเสียไปในช่วงที่ได้รับความเสียหายจากปัญหาน้ำท่วม
ปัจจุบันทางร้านได้สต๊อกสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน โดยมีปริมาณสินค้าที่เริ่มใกล้เคียงกับก่อนภาวะน้ำท่วมแล้ว หลังจากบริษัทใช้คลังสินค้าสำรองแห่งใหม่ 2-3 แห่งในพื้นที่ จ.ชลบุรี ทดแทนคลังสินค้าที่บางบัวทองเพื่อลดปัญหาการกระจายสินค้าหยุดชะงักจากสถานการณ์น้ำท่วม แต่ความต้องการยังอยู่ในระดับสูงทำให้สินค้าบางรายการ มีไม่เพียงพอ ส่วนคลังสินค้าที่บางบัวทองระดับน้ำเริ่มลดลงเป็นลำดับ คาดว่าจะเริ่มขนส่งสินค้าจากคลังสินค้าที่บางบัวทองได้ ส่งผลให้การกระจายสินค้าไปตามสาขา เริ่มดีขึ้น
สำหรับบริษัทยังไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายการขยายสาขาเพิ่มเติมเฉลี่ย 500 สาขาต่อปี โดยในเบื้องต้นคงต้องปรับแผนงานใหม่ในปีหน้าเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ของสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ต้องรอให้สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายก่อนจึงจะหารือเพื่อสรุปแผนงานปีหน้าในขั้นตอนต่อไป
