สภาพัฒน์ เผย "จีดีพี" ไตรมาส 2 ปี 54 โตได้แค่ 2.6% ต่ำกว่าไตรมาสแรก เพราะส่งออก-ผลิตรถยนต์ หดตัว น้ำมันพุ่ง พร้อมหั่นเป้าตัวเลขทั้งปี อยู่ที่ 3.5-4.0% เนื่องจาก ศก.โลก ยังมีความเสี่ยง ทั้งจาก ศก.สหรัฐฯ และยุโรป ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ร่วงทันที 10 จุด หลังแถลงข่าว "จีดีพี" ชะลอตัว ต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 2 ปี 2554 ขยายตัวที่ระดับ 2.6% ต่ำกว่า 3.2% ไตรมาสที่ 1 ปี 2554 เล็กน้อย โดยหากปรับปัจจัยฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยหดตัวจากไตรมาสแรกร้อยละ 0.2 (% QoQ SA) แต่หากรวมทั้ง 2 ไตรมาส หรือครึ่งปีแรก พบว่า "จีดีพี" มีอัตราเติบโตที่ระดับ 2.9% ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปี 2553 ที่ถือว่าตัวเลข จีดีพี ในปี 2553 ดีมาก
"ช่วงไตรมาส 2 ตัวที่ทำให้เศรษฐกิจของเราเติบโต 2.6% ในอัตราที่ชะลอลงนั้นส่วนที่สำคัญมาจากภาคการส่งออก แม้จะขยายตัวได้ดีแต่ยังต่ำกว่าไตรมาส 1 เนื่องจากสินค้าหมวดหลัก รถยนต์ อิเลคทรอนิคส์ อัญมณี สิ่งทอ ติดลบในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งรถยนต์ อิเลคฯ เป็นหมวดใหญ่ในการส่งออกรับผลจากเหตุการณ์ในญี่ปุ่น ทำให้ซัพพลายชิ้นส่วนรถยนต์ส่งผลกระทบทั่วโลก ไทยก็ได้รับเช่นเดียวกัน แต่หลังไตรมาส 2 ก็ปรับตัวดีขึ้น"
ส่วนการประมาณการแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2554 คาดว่าจะขยายตัว 3.5-4.0% จากเดิมที่คาดไว้ในระดับ 3.5-4.5% โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัว 16.5% การบริโภคและการลงทุนเอกชนขยายตัว 3.3% และ 8.7% ตามลำดับ ส่วนเงินเฟ้อทั่วไป 3.6-4.0% อัตราการว่างงาน 0.7% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.4% ของ จีดีพี
ขณะที่คาดว่าค่าเงินบาทในครั้งปีหลังจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี โดยประเมินค่าเงินบาททั้งปีนี้อยู่ในช่วง 29.5-30.5 บาทต่อดอลลาร์ และเขิ่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้จะมาอยู่ที่ 19 ล้านคน สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดไว้ 18.6 ล้านคน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มรายได้เข้าสู่ประเทศ
ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญในปี 2554 ได้แก่ (1) การบริหารจัดการราคาสินค้าอย่างเหมาะสม เพื่อให้เป็นธรรมทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิต นอกจากนี้การปรับขึ้นราคาส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบมาจากการลดลงของสินค้า ซึ่งอาจถูกกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้า เช่น ภาวะน้ำท่วม ดังนั้นจึงควรมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและการเตรียมพร้อมทางด้านมาตรการที่จะช่วยลดผลกระทบอย่างทันเหตุการณ์
(2) การสร้างความมั่นคงให้แก่รายได้ของประชาชน โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากความแปรปรวนที่รุนแรงขึ้นของสภาพอากาศ โดยเพิ่มพื้นที่และพัฒนาระบบชลประทาน ใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มผลผลิต มีการวางแผนการผลิตที่ชัดเจน
และใช้เครื่องมือทางการเงินในการประกันความเสี่ยงต่างๆ
(3) การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต เช่น ค่าจ้างแรงงาน อัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันรวมถึงการส่งเสริมการยกระดับการผลิตจากการใช้แรงงานสูงไปสู่การใช้เทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อลดอุปสรรคจากข้อจำกัดด้านแรงงานตึงตัว (4) การเตรียมพร้อมของนโยบายเพื่อรองรับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดเงิน ตลาดทุน และอัตราแลกเปลี่ยน
และ (5) การวางนโยบายการคลังอย่างเหมาะสม และเร่งรัดการเบิกจ่ายให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาวะที่การฟื้นตัวอย่างเต็มที่ของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มล่าช้าออกไป และควรเพิ่มบทบาทการลงทุนร่วมจากภาคเอกชนให้มากขึ้น
สำหรับคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2555 นั้น นายอาคม กล่าวว่า คงต้องรอฟังการแถลงนโยบายจึงจะสามารถคาดการณ์เศรษฐกิจปีหน้าได้ ซึ่งหลังจากแถลงนโยบาย สภาพัฒน์ฯ คงได้มีการหารือกับทางสำนักงบประมาณ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง ในการคาดการณ์เศรษฐกิจปีหน้า และเชื่อว่าการจัดทำกรอบงบประมาณสมดุลรัฐบาลคงจะมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลังจากแถลงนโยบายแล้ว
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้ ดัชนีร่วงลงไปกว่า 10 จุด สวนทางตลาดหุ้นขนาดใหญ่ในภูมิภาคที่ดีดตัวบวก โดยตลาดหุ้นบ้านเรามีแรงขายเข้ามามากในหุ้นกลุ่มบิ๊กแคป โดยเฉพาะแบงก์และพลังงาน หลังสภาพัฒน์แถลงตัวเลข จีดีพี ไตรมาส 2 ปี 2554 ขยายตัว 2.6% ชะลอลงจากไตรมาสแรก เนื่องจากรับผลกระทบเหตุภัยพิบัติที่เกิดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ไว้
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงกว่า 10 จุด ภายหลังจากที่สภาพัฒน์แถลงตัวเลข จีดีพี ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ โดยออกมาขยายตัวแค่ 2.6% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.6%
นอกจากนี้ ตลาดอื่นในแถบเอเชียก็เริ่มปรับตัวลงด้วย โดยเฉพาะตลาดในกลุ่ม TIP ซึ่งนอกจากไทยแล้ว ยังมีตลาดอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ก็ปรับตัวลงมาประมาณ 1%