เอสซีจี เทรดดิ้ง เร่งขยายเครือข่ายบริหารช่องทางการจำหน่ายรองรับการเปิดเสรี AEC โดยตั้งเป้าสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท ในปี 2558 จากปีนี้คาดมีรายได้โต 18% อยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท จากธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ถ่านหินและรีไซเคิล
นายกลินท์ สารสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เทรดดิ้ง จำกัด ในเครือเครือซิเมนต์ไทย เปิดเผยทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ว่า บริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมก้าวสู่การเป็น Trading House ชั้นนำที่เข้มแข็งของอาเซียน รองรับการเปิดการค้าเสรีของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 เนื่องจากเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นเทรดดิ้ง ฮับในภูมิภาคนี้ได้
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย (Sales Turnover) ไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท ในปี 2558 จากการขยายเครือข่ายการบริหารจัดการช่องทางการจำหน่ายไปทั่วโลก การนำระบบไอทีเข้ามาใช้ และมีการขยายสำนักงานสาขาในต่างประเทศจากปัจจุบันมีอยู่ 36 สาขาใน 25 ประเทศ ซึ่งปีหน้าจะขยายสำนักงานสาขาเพิ่มอีก 6 แห่งในมาเลเซียฝั่งตะวันออก ญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรปตะวันตก และ แอฟริกา
ส่วนการทำตลาดในพม่า ได้บุกตลาดวัสดุก่อสร้าง พร้อมทั้งดูโอกาสการทำตลาดในทวาย หากมีการพัฒนาการลงทุนเป็นรูปธรรม ก็พร้อมที่จะตั้งสำนักงานสาขาที่นั่น เพื่อใช้เป็นช่องทางการการบุกตลาดในเอเชียใต้ อาทิ บังกลาเทศ อินเดีย ช่วยย่นระยะทางขนส่งโดยไม่ตผ่านสิงคโปร์ เป็นต้น
นายกลินท์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มียอดขายประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท โตขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการจำหน่ายสินค้าในเครือเอสซีจีประมาณ 50% ของรายได้รวม โดยสินค้าที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด คือ วัสดุก่อสร้าง และถ่านหิน เนื่องจากได้มีการพัฒนาและขยายระบบเครือข่ายการบริหารจัดการช่องทางการจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างในลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม และฟิลิปปินส์ รวมทั้งมีการวางแผนซื้อขายล่วงหน้า และทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากความผันผวนของราคาถ่านหิน
โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายประมาณ 5 หมื่นล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อน 18% เนื่องจากแนวโน้มราคาเศษเหล็กในครึ่งปีหลังจะปรับตัวสูงขึ้นดีกว่าครึ่งปีแรก หลังจากก่อนหน้านี้จีนชะลอการซื้อ และได้มีการซื้อวัสดุก่อสร้างจากจีนไปทำตลาดในต่างประเทศ หลังจากกำลังการผลิตไฟเบอร์ซีเมนต์บอร์ดในไทยผลิตไม่เพียงพอ ดังนั้น รายได้หลักของบริษัทในปีนี้มาจากวัสดุก่อสร้าง ถ่านหินและสินค้ารีไซเคิล รวมทั้งหันมาเพิ่มสินค้าพลังงานทดแทน เช่น เชื้อเพลิงชีวมวล โดยนำเศษไม้ กะลาปาล์มมาขายให้โรงงานผลิตไฟฟ้าชีวมวล เป็นต้น
การขยายการลงทุนในธุรกิจรีไซเคิลนั้น บริษัทได้ลงทุนโรงอัดเศษกระดาษเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง รวมเป็น 11 แห่ง เพื่อป้อนให้โรงงานกระดาษที่ฟิลิปปินส์ และได้ลงทุนโครงการแปรรูปขยะเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง (RDF) 220 ล้านบาท ในการคัดแยกและแปรรูปขยะแล้วขายให้กับโรงปูนซีเมนต์ที่ฟิลิปปินส์ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเครือเอสซีจี คาดว่า จะดำเนินการแล้วเสร็จและสร้างรายได้ในไตรมาส 4 นี้
นายกลินท์ กล่าวถึงกรณีที้รัฐบาลใหม่มีนโยบายปรับขึ้นค่าแรง 300 ล้านบาท/วัน มีผลทำให้ราคาสินค้าส่งออกปรับตัวสูงขึ้นตามค่าแรง และราคาน้ำมัน ซึ่งมีผลทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ก็คงต้องพิจารณาว่าราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นลูกค้าจะรับได้หรือไม่
นายกลินท์ สารสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เทรดดิ้ง จำกัด ในเครือเครือซิเมนต์ไทย เปิดเผยทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ว่า บริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมก้าวสู่การเป็น Trading House ชั้นนำที่เข้มแข็งของอาเซียน รองรับการเปิดการค้าเสรีของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 เนื่องจากเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นเทรดดิ้ง ฮับในภูมิภาคนี้ได้
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย (Sales Turnover) ไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท ในปี 2558 จากการขยายเครือข่ายการบริหารจัดการช่องทางการจำหน่ายไปทั่วโลก การนำระบบไอทีเข้ามาใช้ และมีการขยายสำนักงานสาขาในต่างประเทศจากปัจจุบันมีอยู่ 36 สาขาใน 25 ประเทศ ซึ่งปีหน้าจะขยายสำนักงานสาขาเพิ่มอีก 6 แห่งในมาเลเซียฝั่งตะวันออก ญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรปตะวันตก และ แอฟริกา
ส่วนการทำตลาดในพม่า ได้บุกตลาดวัสดุก่อสร้าง พร้อมทั้งดูโอกาสการทำตลาดในทวาย หากมีการพัฒนาการลงทุนเป็นรูปธรรม ก็พร้อมที่จะตั้งสำนักงานสาขาที่นั่น เพื่อใช้เป็นช่องทางการการบุกตลาดในเอเชียใต้ อาทิ บังกลาเทศ อินเดีย ช่วยย่นระยะทางขนส่งโดยไม่ตผ่านสิงคโปร์ เป็นต้น
นายกลินท์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มียอดขายประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท โตขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการจำหน่ายสินค้าในเครือเอสซีจีประมาณ 50% ของรายได้รวม โดยสินค้าที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด คือ วัสดุก่อสร้าง และถ่านหิน เนื่องจากได้มีการพัฒนาและขยายระบบเครือข่ายการบริหารจัดการช่องทางการจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างในลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม และฟิลิปปินส์ รวมทั้งมีการวางแผนซื้อขายล่วงหน้า และทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากความผันผวนของราคาถ่านหิน
โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายประมาณ 5 หมื่นล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อน 18% เนื่องจากแนวโน้มราคาเศษเหล็กในครึ่งปีหลังจะปรับตัวสูงขึ้นดีกว่าครึ่งปีแรก หลังจากก่อนหน้านี้จีนชะลอการซื้อ และได้มีการซื้อวัสดุก่อสร้างจากจีนไปทำตลาดในต่างประเทศ หลังจากกำลังการผลิตไฟเบอร์ซีเมนต์บอร์ดในไทยผลิตไม่เพียงพอ ดังนั้น รายได้หลักของบริษัทในปีนี้มาจากวัสดุก่อสร้าง ถ่านหินและสินค้ารีไซเคิล รวมทั้งหันมาเพิ่มสินค้าพลังงานทดแทน เช่น เชื้อเพลิงชีวมวล โดยนำเศษไม้ กะลาปาล์มมาขายให้โรงงานผลิตไฟฟ้าชีวมวล เป็นต้น
การขยายการลงทุนในธุรกิจรีไซเคิลนั้น บริษัทได้ลงทุนโรงอัดเศษกระดาษเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง รวมเป็น 11 แห่ง เพื่อป้อนให้โรงงานกระดาษที่ฟิลิปปินส์ และได้ลงทุนโครงการแปรรูปขยะเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง (RDF) 220 ล้านบาท ในการคัดแยกและแปรรูปขยะแล้วขายให้กับโรงปูนซีเมนต์ที่ฟิลิปปินส์ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเครือเอสซีจี คาดว่า จะดำเนินการแล้วเสร็จและสร้างรายได้ในไตรมาส 4 นี้
นายกลินท์ กล่าวถึงกรณีที้รัฐบาลใหม่มีนโยบายปรับขึ้นค่าแรง 300 ล้านบาท/วัน มีผลทำให้ราคาสินค้าส่งออกปรับตัวสูงขึ้นตามค่าแรง และราคาน้ำมัน ซึ่งมีผลทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ก็คงต้องพิจารณาว่าราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นลูกค้าจะรับได้หรือไม่