กบง.มีมติให้ลดเก็บเงินดีเซล 40 สตางค์/ลิตร เข้ากองทุนน้ำมันฯ มีผลพรุ่งนี้ ส่งผลให้มีเงินไหลออกจากกองทุนวันละ 41 ล้านบาท ขณะที่สถานะกองทุนฯ มีเงินเหลืออยู่ 345 ล้านบาท “พลังงาน” ยันกองทุนฯ ไม่เดี้ยงแน่ เพราะมีเงินสดอีกหลายจุดที่ดึงมาโปะได้
นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน เผยที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) อนุมัติให้ลดการเรียกเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำมันดีเซลลงอีกลิตรละ 40 สตางค์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2554 (พรุ่งนี้) ส่งผลให้การเรียกเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำมันดีเซลคงเหลือลิตรละ 70 สตางค์ ทำให้มีเงินไหลออกจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยวันละ 41 ล้านบาท ขณะที่สถานะกองทุนน้ำมันฯ มีเงินเหลืออยู่ 345 ล้านบาท
“มีมติให้ปรับลดการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของน้ำมันดีเซลจากผู้ค้าน้ำมันลงอีก 40 สตางค์ เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าการตลาดสำหรับน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ 64 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งหลังจาก กบง.มีมติลดการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ลงรอบนี้แล้วส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ 1.04 บาท”
ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวเสริมว่า สถานะกองทุนฯ ขณะนี้มีเงินสุทธิเหลืออยู่ 344 ล้านบาท เพียงพอต่อการชดเชยไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 ที่เป็นกำหนดสิ้นสุดมาตรการตรึงราคาดีเซลให้อยู่ที่ระดับ 30 บาทต่อลิตร ขณะที่มาตรการการกู้เงินนั้นในปัจจุบัน ยังไม่มีความจำเป็น เพราะถ้าระดับราคาน้ำมันในตลาดโลกยังยืนอยู่ที่ 110-115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ยังเป็นราคาที่สามารถควบคุมได้ เพราะกองทุนฯ ยังมีเงินสดในบัญชีเหลืออยู่ประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท”
ด้าน นายศิวะนันท์ ณ นคร ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) กล่าวว่า กองทุนน้ำมันฯ ยังไม่มีการกู้เงินตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้อนุมัติกรอบไว้ 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯ ยังมีเงินสดอยู่ในบัญชีถึง 23,864 ล้านบาท ขณะเดียวกัน มีหนี้จากการชดเชยการนำเข้าแก๊สหุงต้ม (LPG) จากต่างประเทศประมาณ 4,200 ล้านบาท ชดเชยแอลพีจีหน้าโรงกลั่น 3,090 ล้านบาท ชดเชยเอ็นจีวี 4,200 ล้านบาท และชดเชยดีเซล 11,000 ล้านบาท