สนพ.เกาะติดราคาแอลพีจีตลาดโลกใกล้ชิดหลังญี่ปุ่นกว้านซื้อเพื่อผลิตไฟฟ้าทดแทนนิวเคลียร์ดันราคาพุ่งเกินราคาอ้างอิงที่จะนำมาปรับราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมไตรมาสละ 3 บาทต่อ กก.เริ่ม ก.ค.นี้ลุ้นเดือน มิ.ย.ลดลง
นายชวลิต พิชาลัย รองผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สนพ.ต้องติดตามภาวะราคาแอลพีจีตลาดโลกใกล้ชิดเพื่อประเมินแนวทางการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่กำหนดกรอบการปรับขึ้นไว้ไตรมาสละ 3 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) รวม 4 ไตรมาส เริ่มไตรมาสแรกเดือน ก.ค.นี้โดยรวมการปรับขึ้น 12 บาทต่อ กก.ซึ่งใช้ราคาแอลพีจีเดือน เม.ย.54 อ้างอิงราคาตลาดโลกเฉลี่ย 881 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
ทั้งนี้ ปกติราคาแอลพีจีตลาดโลกจะเริ่มเข้าสู่วัฏจักรขาลงในช่วง เม.ย.แต่ยอมรับว่า ราคากลับสวนทาง เนื่องจากญี่ปุ่นมีความต้องการเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปเป็นพลังงานทดแทนนิวเคลียร์ ส่งผลให้ พ.ค.ราคาประกาศอ้างอิงตลาดเอเชียอยู่ที่ 965 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากเดือน เม.ย.อยู่ที่ 881 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน เดือน มี.ค.อยู่ที่ 836 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน
ดังนั้น คงต้องติดตามราคาในเดือน มิ.ย.และเดือน ก.ค.ที่จะประกาศในช่วงต้นเดือนอย่างใกล้ชิดว่าอยู่ที่เท่าใด สนพ.หวังว่าราคาในช่วงนั้นจะปรับลดลงเท่าๆ กับราคาอ้างอิงในเดือน เม.ย.หรือต่ำกว่า เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมากนัก โดยขณะนี้กระทรวงพลังงานกำลังหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มเซรามิก และแก้ว ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการปรับขึ้นแอลพีจี
รายงานข่าวแจ้งว่า คงต้องติดตามราคาแอลพีจีในเดือน ก.ค.ที่จะประกาศอ้างอิงช่วงเดือนว่าจะเป็นเท่าใด หากราคาอ้างอิงแพงกว่าราคาเดือน เม.ย.100 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จะทำให้มีราคาต้องปรับสูงขึ้น 3 บาท/กก.จาก 12 บาท/กก.จะเป็น 15 บาท/กก.แต่ถ้าถูกลง 100 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ราคาถูกลง 3 บาท/กก.เหลือเพียง 9 บาท/กก.
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าแอลพีจี กล่าวว่า ยังคงยืนยันหลักการเดิมว่าภาครัฐควรจะพิจารณาการขึ้นราคาแอลพีจีทั้งระบบ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มภาคอุตสาหกรรม เพราะที่สุดแล้วการควบคุมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดการถ่ายเทจากกลุ่มที่มีราคาต่ำกว่าไปสู่กลุ่ม ที่มีราคาสูงกว่า และควรจะมีความชัดเจนถึงแนวทางการส่งเสริมการใช้ที่ขณะนี้ยอมรับว่าภาคขนส่งมีการขยายตัวมากหากราคาน้ำมันทรงตัวระดับสูงแต่รัฐตรึงราคา
นายชวลิต พิชาลัย รองผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สนพ.ต้องติดตามภาวะราคาแอลพีจีตลาดโลกใกล้ชิดเพื่อประเมินแนวทางการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่กำหนดกรอบการปรับขึ้นไว้ไตรมาสละ 3 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) รวม 4 ไตรมาส เริ่มไตรมาสแรกเดือน ก.ค.นี้โดยรวมการปรับขึ้น 12 บาทต่อ กก.ซึ่งใช้ราคาแอลพีจีเดือน เม.ย.54 อ้างอิงราคาตลาดโลกเฉลี่ย 881 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
ทั้งนี้ ปกติราคาแอลพีจีตลาดโลกจะเริ่มเข้าสู่วัฏจักรขาลงในช่วง เม.ย.แต่ยอมรับว่า ราคากลับสวนทาง เนื่องจากญี่ปุ่นมีความต้องการเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปเป็นพลังงานทดแทนนิวเคลียร์ ส่งผลให้ พ.ค.ราคาประกาศอ้างอิงตลาดเอเชียอยู่ที่ 965 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากเดือน เม.ย.อยู่ที่ 881 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน เดือน มี.ค.อยู่ที่ 836 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน
ดังนั้น คงต้องติดตามราคาในเดือน มิ.ย.และเดือน ก.ค.ที่จะประกาศในช่วงต้นเดือนอย่างใกล้ชิดว่าอยู่ที่เท่าใด สนพ.หวังว่าราคาในช่วงนั้นจะปรับลดลงเท่าๆ กับราคาอ้างอิงในเดือน เม.ย.หรือต่ำกว่า เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมากนัก โดยขณะนี้กระทรวงพลังงานกำลังหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มเซรามิก และแก้ว ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการปรับขึ้นแอลพีจี
รายงานข่าวแจ้งว่า คงต้องติดตามราคาแอลพีจีในเดือน ก.ค.ที่จะประกาศอ้างอิงช่วงเดือนว่าจะเป็นเท่าใด หากราคาอ้างอิงแพงกว่าราคาเดือน เม.ย.100 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จะทำให้มีราคาต้องปรับสูงขึ้น 3 บาท/กก.จาก 12 บาท/กก.จะเป็น 15 บาท/กก.แต่ถ้าถูกลง 100 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ราคาถูกลง 3 บาท/กก.เหลือเพียง 9 บาท/กก.
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าแอลพีจี กล่าวว่า ยังคงยืนยันหลักการเดิมว่าภาครัฐควรจะพิจารณาการขึ้นราคาแอลพีจีทั้งระบบ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มภาคอุตสาหกรรม เพราะที่สุดแล้วการควบคุมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดการถ่ายเทจากกลุ่มที่มีราคาต่ำกว่าไปสู่กลุ่ม ที่มีราคาสูงกว่า และควรจะมีความชัดเจนถึงแนวทางการส่งเสริมการใช้ที่ขณะนี้ยอมรับว่าภาคขนส่งมีการขยายตัวมากหากราคาน้ำมันทรงตัวระดับสูงแต่รัฐตรึงราคา
