นายก ส.ค้าปลีกค้าส่งฯ มั่นใจปี 54 ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งของไทย ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ตามทิศทางการขยายตัวของ ศก.ไทย คาดมูลค่ารวม 1.5 ล้านล้านบาท ชี้ การเลือกตั้งใหญ่กลางปี ช่วยหนุนกำลังซื้อให้กลับมาคึกคัก พร้อมโวยนโยบายภาครัฐอุ้มโมเดิร์นเทรด แต่กลับลอยแพโชวห่วย
นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าปลีกค้าส่งไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในปีนี้ คาดว่าจะมีมูลค่ารวม 1.5 ล้านล้านบาท เติบโตเป็นตัวเลขสองหลักเมื่อเทียบกับปีก่อน ที่ตลาดรวมมีมูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท โดยปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งของไทยเติบโตได้ดีมาจากเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น และการเลือกตั้งที่มีขึ้นในช่วงกลางปีนี้ ส่งผลให้กำลังซื้อทั่วประเทศคึกคักมากขึ้น โดยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตลาดรวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
สำหรับการแข่งขันของธุรกิจร้านโชวห่วยในปีนี้ ต้องการให้เร่งปรับปรุงร้านให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการปรับร้านค้าภายในให้สะอาด สว่าง และสะดวกมากที่สุด ปรับระบบการสต็อกสินค้าใหม่ให้มีจำนวนการสต็อกสินค้าที่ไม่มากจนเกิดปัญหา และปรับทัศนคติในการบริหารร้านใหม่ เพื่อให้ร้านสามารถอยู่ในใจของคนในชุมชนได้
นายสมชาย กล่าวว่า ปัญหาที่อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือ คือ ในขณะนี้ผู้ประกอบธุรกิจร้านโชวห่วย ยี่ปั๊ว และ ซาปั๊ว ทั่วประเทศ กำลังเกิดความรู้สึกกับภาครัฐบาล ว่า ไม่มีนโยบายดูแลและควบคุมร้านโชวห่วย ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว อย่างจริงจัง เห็นได้จากนโยบายแก้ปัญหาสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ขาดตลาดในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา อาทิ สินค้าน้ำมันปาล์มนั้น ภาครัฐเน้นกระจายสินค้าไปยังห้างค้าปลีกมากที่สุด แต่กระจายสินค้าให้แก่ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว จนถึงร้านโชวห่วยน้อยมาก และในขณะนี้สินค้าที่กำลังเกิดปัญหาตามมา คือ น้ำมันถั่วเหลืองก็ได้รับสินค้ามาจำหน่าย ไม่ครบทุกขนาด รวมถึงน้ำตาลทรายที่เกิดปัญหาสินค้าขาดตลาดอย่างมาก ในตลาดสดทั่วประเทศ
ทั้งนี้ อยากให้ภาครัฐให้ความสำคัญกับธุรกิจโชห่วย ร้านค้ายี่ปั๊ว และซาปั๊ว มากขึ้น เพราะวางแผนเป็นภารกิจระดับชาติที่จะผลักดันธุรกิจโชห่วยให้เติบโตคู่กับสังคมไทยต่อไป พร้อมกับ มีนโยบายดูแล ภาคการเกษตร ภาคแรงงาน ที่เป็นฐานหลักของประเทศไปพร้อมกัน
“ที่ผ่านมา เราโดนทอดทิ้ง จากปัญหาทั้งน้ำมันปาล์ม น้ำตาลทรายขาดตลาด เรารู้สึกน้อยใจ เพราะรู้ดีว่า ห้างค้าปลีกเป็นกลุ่มทุนของต่างชาติ แต่รัฐกลับเน้นกระจายสินค้าไปช่องทางดังกล่าว ขณะที่ภาคโชห่วย ที้เป็นธุรกิจเป็นคนไทย ภาครัฐกลับไม่เคยนึกถึง ไม่เคยมีนโยบายออกมาดูแลอย่างจริงจัง จึงอยากให้รัฐมีนโยบายที่ทำให้โชวห่วยเกิดความรู้สึกมีคุณค่า และมีส่วนร่วมกับสังคม”