กระแสอีโคคาร์แรง ทำค่าย “ฮุนได” หวั่นไหว ต้องทบทวนและศึกษาแผนการทำตลาดรถเล็ก “ฮุนได ไอ10” ในไทยใหม่ เพื่อความรอบคอบยิ่งขึ้น จึงไม่สามารถกำหนดดีเดย์ส่งบุกตลาดไทยได้หรือไม่ แต่มั่นใจยอดขายปีนี้พุ่งเป็น 5,000 คัน หลังเปิดตัว “ฮุนได โซนาต้า” โฉมใหม่ รวมถึงรถธงรุ่นเอช1 เวอร์ชั่นปี 2011 พร้อมขยายโชว์รูม และทุ่มงบตลาดเพิ่มอีก 20%
นายซูน คิม ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป สำนักงานใหญ่ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก บริษัท ฮุนได มอเตอร์ เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์นั่ง หรือเก๋งขนาดเล็ก กำลังเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงในภูมิภาคอาเซียน และประเทศไทย ซึ่งตามแผนที่วางไว้จะมีการผลิตรถเล็ก “ฮุนได ไอ10”(Hyundai i10) ใหม่ที่ประเทศมาเลเซีย และจะเปิดตัวทำตลาดในช่วงปลายปี 2554 นี้ ในส่วนของไทยได้มีการพิจารณาจะนำเข้ารถรุ่นนี้จากมาเลเซีย เพื่อมาทำตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นกัน
“แต่เป็นที่ทราบกันรถยนต์ขนาดเล็กอย่างอีโคคาร์ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างมาก ดังนั้นการที่จะทำตลาดรุ่นไอ10 ในไทย จึงต้องมาคิดทบทวนใหม่ เพื่อจะได้พิจารณาและศึกษาอย่างรอบคอบ ทำให้ไม่สามารถกำหนดลงไปได้ชัดเจนว่า จะมีการนำเข้ารถรุ่นนี้มาทำตลาดในไทยแน่นอนหรือไม่”
ทั้งนี้แม้จะนำเข้ารถยนต์ฮุนได ไอ10 จากมาเลเซียมาทำตลาดในไทย ภายใต้กรอบข้อตกลงเสรีการค้า หรืออาฟต้า(AFTA) แต่อีโคคาร์เป็นรถที่ผลิตในไทย และยังได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีสรรพสามิต นับเป็นอีกข้อได้เปรียบของอีโคคาร์ ซึ่งหากในไทยจะทำตลาดรุ่นไอ10 ต้องพิจารณาและศึกษาปัจจัยเหล่านี้ รวมถึงสภาพตลาดและความต้องการให้รอบคอบ ฉะนั้นสิ่งแรกที่ฮุนไดมองจึงอยู่ที่การผลิตและทำตลาดรุ่นนี้ ที่ประเทศมาเลเซียช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน
นายโยชิซึมิ คุราตะ ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับปีนี้ฮุนไดในไทยจะโฟกัสไปที่รถยนต์นั่ง “ฮุนได โซนาต้า”(Hyundai Sonata) ซึ่งเป็นเก๋งขนาดกลางที่นำเข้าจากเกาหลีใต้ โดยจะเปิดตัวสู่สาธารณะอย่างเป็นทางการ ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2011 ปลายเดือนมีนาคมนี้ พร้อมกับรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี “ฮุนได เอช1” (Hyundai H1) เวอร์ชั่นปี 2011
“ในปีที่ผ่านมาฮุนไดประสบความสำเร็จมาก มียอดขายกว่า 3 พันคัน หรือเติบโตกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยปีนี้คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มเป็น 5,000 คัน ซึ่งสินค้าหลักยังจะเป็นเอ็มพีวีรุ่นเอช1 แต่จะมีการปรับสัดส่วนการขายใหม่ จากเดิมรุ่นเอช1 จะมากถึงกว่า 90% แต่จากการเปิดตัวฮุนได โซนาต้า จะทำให้สัดส่วนการขายรุ่นเอช1 ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 85% ขณะที่รุ่นโซนาต้าและรถเอสยูวี ฮุนได ทูซอน(Hyundai Tucson) จะมีสัดส่วนเป็น 15% หรือตั้งเป้าเฉพาะรุ่นโซนาต้า 300-400 คันในปีนี้”
สำหรับฮุนได โซนาต้า โฉมใหม่ นับเป็นรถยนต์ที่ออกแบบใหม่แตกต่างจากรุ่นเดิม ที่เคยทำตลาดในไทยอย่างชัดเจน ด้วยรูปลักษณ์ของรถยนต์นั่งแบบ 4 ประตู แต่ดีไซน์สไตล์รถคูเป้ ขณะเดียวกันอุปกรณ์ทันสมัยและระบบความปลอดภัยครบครัน โดยนำเข้ามาทำตลาดในไทย 2 รุ่น คือ รุ่น S ราคาช่วงแนะนำ 1.55 ล้านบาท และรุ่น G ราคา 1.87 ล้านบาท
ส่วนฮุนได เอช1 เวอร์ชั่นปี 2011 ได้มีการปรับราคาเพิ่มเพื่อรองรับอุปกรณ์พื้นฐานที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงรุ่นต่างๆ ไว้เช่นเดิม คือ รุ่น Touring ราคา 1.086 ล้านบาท รุ่น Executive ราคา 1.412 ล้านบาท และรุ่น Deluxe ราคา 1.494 ล้านบาท โดยทั้ง 3 รุ่นมาพร้อมรางเลื่อนนิรภัยในเบาะแถวที่ 1, 2 และ 3 ของห้องโดยสาร จึงทำให้การปรับพื้นที่ใช้งานเหนือกว่าเดิม ซึ่งมีรางเลื่อนเพียงแถวที่ 1 และ 3 เท่านั้น
นายคุราตะกล่าวว่า จากการเปิดตัวรถยนต์ทั้ง 2 รุ่น และการจัดกิจกรรมตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ได้มีการวางงบการตลาดเพิ่มขึ้นอีก 20% หากไม่มีปัญหาเรื่องการส่งมอบรถจากโรงงานผู้ผลิตแล้ว มั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 5,000 คันในปีนี้แน่นอน โดยในช่วง 2 เดือนแรก(ม.ค.-ก.พ.)ของปีนี้ ฮุนไดมียอดขายเติบโต 45% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ฮุนไดในประเทศไทยไม่ได้เน้นยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับเรื่องการบริการหลังการขาย การปรับปรุงองค์กรให้สอดคล้องกับสภาพตลาด และคุณภาพของบุคลากร จึงได้มีการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค พร้อมกับวางแผนจะขยายโชว์รูมและศูนย์บริการเพิ่มอีก 4 แห่งในปีนี้ จากปัจจุบันมีอยู่ 23 แห่งทั่วประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 30 แห่งในปีหน้า ซึ่งน่าจะครอบคลุมความต้องการลูกค้าได้ทั่วประเทศ
นายซูน คิม ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป สำนักงานใหญ่ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก บริษัท ฮุนได มอเตอร์ เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์นั่ง หรือเก๋งขนาดเล็ก กำลังเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงในภูมิภาคอาเซียน และประเทศไทย ซึ่งตามแผนที่วางไว้จะมีการผลิตรถเล็ก “ฮุนได ไอ10”(Hyundai i10) ใหม่ที่ประเทศมาเลเซีย และจะเปิดตัวทำตลาดในช่วงปลายปี 2554 นี้ ในส่วนของไทยได้มีการพิจารณาจะนำเข้ารถรุ่นนี้จากมาเลเซีย เพื่อมาทำตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นกัน
“แต่เป็นที่ทราบกันรถยนต์ขนาดเล็กอย่างอีโคคาร์ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างมาก ดังนั้นการที่จะทำตลาดรุ่นไอ10 ในไทย จึงต้องมาคิดทบทวนใหม่ เพื่อจะได้พิจารณาและศึกษาอย่างรอบคอบ ทำให้ไม่สามารถกำหนดลงไปได้ชัดเจนว่า จะมีการนำเข้ารถรุ่นนี้มาทำตลาดในไทยแน่นอนหรือไม่”
ทั้งนี้แม้จะนำเข้ารถยนต์ฮุนได ไอ10 จากมาเลเซียมาทำตลาดในไทย ภายใต้กรอบข้อตกลงเสรีการค้า หรืออาฟต้า(AFTA) แต่อีโคคาร์เป็นรถที่ผลิตในไทย และยังได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีสรรพสามิต นับเป็นอีกข้อได้เปรียบของอีโคคาร์ ซึ่งหากในไทยจะทำตลาดรุ่นไอ10 ต้องพิจารณาและศึกษาปัจจัยเหล่านี้ รวมถึงสภาพตลาดและความต้องการให้รอบคอบ ฉะนั้นสิ่งแรกที่ฮุนไดมองจึงอยู่ที่การผลิตและทำตลาดรุ่นนี้ ที่ประเทศมาเลเซียช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน
นายโยชิซึมิ คุราตะ ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับปีนี้ฮุนไดในไทยจะโฟกัสไปที่รถยนต์นั่ง “ฮุนได โซนาต้า”(Hyundai Sonata) ซึ่งเป็นเก๋งขนาดกลางที่นำเข้าจากเกาหลีใต้ โดยจะเปิดตัวสู่สาธารณะอย่างเป็นทางการ ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2011 ปลายเดือนมีนาคมนี้ พร้อมกับรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี “ฮุนได เอช1” (Hyundai H1) เวอร์ชั่นปี 2011
“ในปีที่ผ่านมาฮุนไดประสบความสำเร็จมาก มียอดขายกว่า 3 พันคัน หรือเติบโตกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยปีนี้คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มเป็น 5,000 คัน ซึ่งสินค้าหลักยังจะเป็นเอ็มพีวีรุ่นเอช1 แต่จะมีการปรับสัดส่วนการขายใหม่ จากเดิมรุ่นเอช1 จะมากถึงกว่า 90% แต่จากการเปิดตัวฮุนได โซนาต้า จะทำให้สัดส่วนการขายรุ่นเอช1 ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 85% ขณะที่รุ่นโซนาต้าและรถเอสยูวี ฮุนได ทูซอน(Hyundai Tucson) จะมีสัดส่วนเป็น 15% หรือตั้งเป้าเฉพาะรุ่นโซนาต้า 300-400 คันในปีนี้”
สำหรับฮุนได โซนาต้า โฉมใหม่ นับเป็นรถยนต์ที่ออกแบบใหม่แตกต่างจากรุ่นเดิม ที่เคยทำตลาดในไทยอย่างชัดเจน ด้วยรูปลักษณ์ของรถยนต์นั่งแบบ 4 ประตู แต่ดีไซน์สไตล์รถคูเป้ ขณะเดียวกันอุปกรณ์ทันสมัยและระบบความปลอดภัยครบครัน โดยนำเข้ามาทำตลาดในไทย 2 รุ่น คือ รุ่น S ราคาช่วงแนะนำ 1.55 ล้านบาท และรุ่น G ราคา 1.87 ล้านบาท
ส่วนฮุนได เอช1 เวอร์ชั่นปี 2011 ได้มีการปรับราคาเพิ่มเพื่อรองรับอุปกรณ์พื้นฐานที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงรุ่นต่างๆ ไว้เช่นเดิม คือ รุ่น Touring ราคา 1.086 ล้านบาท รุ่น Executive ราคา 1.412 ล้านบาท และรุ่น Deluxe ราคา 1.494 ล้านบาท โดยทั้ง 3 รุ่นมาพร้อมรางเลื่อนนิรภัยในเบาะแถวที่ 1, 2 และ 3 ของห้องโดยสาร จึงทำให้การปรับพื้นที่ใช้งานเหนือกว่าเดิม ซึ่งมีรางเลื่อนเพียงแถวที่ 1 และ 3 เท่านั้น
นายคุราตะกล่าวว่า จากการเปิดตัวรถยนต์ทั้ง 2 รุ่น และการจัดกิจกรรมตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ได้มีการวางงบการตลาดเพิ่มขึ้นอีก 20% หากไม่มีปัญหาเรื่องการส่งมอบรถจากโรงงานผู้ผลิตแล้ว มั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 5,000 คันในปีนี้แน่นอน โดยในช่วง 2 เดือนแรก(ม.ค.-ก.พ.)ของปีนี้ ฮุนไดมียอดขายเติบโต 45% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ฮุนไดในประเทศไทยไม่ได้เน้นยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับเรื่องการบริการหลังการขาย การปรับปรุงองค์กรให้สอดคล้องกับสภาพตลาด และคุณภาพของบุคลากร จึงได้มีการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค พร้อมกับวางแผนจะขยายโชว์รูมและศูนย์บริการเพิ่มอีก 4 แห่งในปีนี้ จากปัจจุบันมีอยู่ 23 แห่งทั่วประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 30 แห่งในปีหน้า ซึ่งน่าจะครอบคลุมความต้องการลูกค้าได้ทั่วประเทศ