ประธาน ส.อ.ท.ห่วงสถานการณ์ปะทะชายแดนบานปลาย ยอมรับนักลงทุนไทยในเขมรเริ่มวิตก กกร.นัดประชุมบ่ายวันนี้ เตรียมแผนสำรองขนคนไทยกลับบ้าน พร้อมภาวนาให้การสู้รบอยู่ในกรอบพื้นที่ชายแดนเท่านั้น ด้านศุลกากรยันปิด “ช่องจอม” แค่ด่านเดียว ส่วนด่านอรัญฯ ที่เป็นหัวใจการค้ายังปกติ ยันไม่กระทบรายได้ เพราะไทย-เขมร ทำข้อตกลง “เอฟทีเอ” ลดภาษี 0% “พรทิวา” สั่งทูตพาณิชย์ในพนมเปญจับตาสถานการณ์ และรายงานเข้าต่อเนื่อง
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวยอมรับว่า จากสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนไทยมีความวิตกกังวลหากสถานการณ์ขยายวงออกไป และหวังว่า การสู้รบจะอยู่ในกรอบของพื้นที่ชายแดนเท่านั้น และอยากให้ทั้ง 2 ฝ่ายกลับมาเจรจาในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน โดยภาพรวมขณะนี้นักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชามีความวิตกกังวล และจัดเตรียมแผนฉุกเฉิน หากจะต้องมีการนำคนไทยที่ไปทำงานกัมพูชาเดินทางกลับ
สำหรับผลกระทบตัวเลขทางเศรษฐกิจนั้น นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ (7 ก.พ.) ตนเองจะนำไปหารือในที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งการค้าระหว่างไทย-กัมพูชา มีมูลค่าถึงปีละกว่า 50,000 ล้านบาท และการลงทุนที่นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในกัมพูชา ก็มีมูลค่าอีกหลายหมื่นล้านบาทเช่นเดียวกัน
ด้าน นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า จากผลกระทบการสู้รบของไทยและกัมพูชา ขณะนี้กรมศุลกากรได้มีการปิดด่านเพียงด่านเดียว คือ ด่านช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ ส่วนจะมีการปิดด่านอื่นๆ เพิ่มหรือไม่ คงต้องรอความเห็นของฝ่ายความมั่นคงและทหารว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร
ส่วนการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มูลค่าส่วนใหญ่จะอยู่ที่ด่านอรัญประเทศ ซึ่งการประเมินสถานการณ์ขณะนี้ เชื่อว่า น่าจะอยู่ในกรอบของการสู้รบเฉพาะในพื้นที่ชายแดนเท่านั้น และไม่ขยายตัวลุกลามออกไป ส่วนผลกระทบการจัดเก็บภาษีนั้น กรมมีรายได้จากการจัดเก็บไม่มาก เนื่องจากเป็นการค้าขายบริเวณพื้นที่ชายแดนและทั้ง 2 ประเทศมีกรอบข้อตกลงการค้าเสรีร่วมกัน ทำให้มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีไม่มาก
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวยอมรับว่า ตนเองได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ในกรุงพนมเปญติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และให้รายงานอย่างต่อเนื่อง ส่วนการจัดงานไทยแลนด์ เอ็กซิบิชัน ที่กรุงพนมเปญ วันที่ 17-20 กุมภาพันธ์ 2554 นี้ ตนเองได้สั่งให้ระงับการจัดงานแล้ว
