ประธาน ส.อ.ท.อยุธยา เผยมีลุ้นเต็ง 1 จัดงาน WORLD EXPO 2020 ยันศักยภาพความพร้อมมีครบทุกด้าน ชูจุดเด่นความเป็นเมืองวัฒนธรรม เมืองมรดกโลก ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตชุมชน โดยเฉพาะวิถีชีวิตริมสายน้ำ รวมถึงงานศิลปาชีพ “วินเซนท์ กอนซาเลส” เตรียมลงพื้นที่ 12 ม.ค.นี้ ก่อนเคาะสรุปตัดสินใจ
นายทศพล วังศิลาบัตร ประธานสภาอุตสาหกรรม (ส.อ.ท.) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ในวันที่ 12 มกราคม 2554 นายวินเซนท์ กอนซาเลส เลขาธิการสำนักงานมหกรรมโลก ผู้ดูแลกระบวนการนำเสนอและการตัดสินใจเลือกเจ้าภาพการจัดงาน WORLD EXPO 2020 จะเดินทางมาตรวจความพร้อมของ จ.พระนครศรีอยุธยา ในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก WORLD EXPO 2020 โดยจะมีการเสนอข้อมูลภาพรวมของจังหวัด แหล่งท่องเที่ยว พร้อมชมพื้นที่โดยรอบ เพื่อนำไปประมวลอีกครั้ง ว่า จังหวัดใดเหมาะสมที่จะได้รับการเสนอเป็นเจ้าภาพจัดงาน
นายวิทยา กล่าวว่า จ.พระนครศรีอยุธยา ยังคงใช้จุดเด่นความเป็นเมืองวัฒนธรรม ในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo 2020 สิ่งสำคัญ คือ จะได้เผยแพร่ผลิตภัณฑ์งานศิลปาชีพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้คนทั่วไปได้รู้จักมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ จ.พระนครศรีอยุธยา มีศักยภาพและความพร้อมรองรับมหกรรมโลก World Expo 2020 โดย ผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) ปี 2551 เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ มูลค่า 419,657 ล้านบาท รายได้เฉลี่ย (GPP PERCAPITA) 548,678 บาท/คน/ปี ผลิตภัณฑ์มวลรวมกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 1 และกรุงเทพฯ เฉลี่ยต่อหัว (per capita GPP) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกันจาก ปี 2550 ถึงปี 2552 มีค่าเท่ากับ 302,578 318,730 และ 320,884 บาทต่อปี ตามลำดับ สำหรับแนวโน้มของรายได้ประชากรในปี 2563 คาดการณ์ว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3
สำหรับศักยภาพและความเหมาะสมของจังหวัดในการจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 นายทศพล กล่าวว่า ความโดดเด่นของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเมืองมรดกโลก และมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญหลากหลายแสดงถึงประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตชุมชน โดยเฉพาะวิถีชีวิตริมสายน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย
“ผู้ที่เคยมาเยือนจังหวัดจะได้สัมผัสบรรยากาศของอยุธยา และความประทับใจในความอลังการของมรดกโลกเมืองเก่า อีกภาพของอยุธยาที่ถูกฉายชัดขึ้นว่าดินแดนแห่งนี้ คือ เมืองน้ำ และได้เห็นภาพของความแตกต่างหลากหลายที่สามารถหลอมรวมได้เป็นหนึ่งในอยุธยาแห่งนี้ นั่นคือ วิถีชีวิตของคนต่างศาสนา พุทธ คริสต์ และอิสลาม ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ อาศัยลำน้ำสี่สายนี้หล่อเลี้ยงชีวิตที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา”
นอกจากนี้ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นจังหวัดที่รู้จักกันดีว่าเคยเป็นอดีตเมืองหลวงของไทยมาก่อนที่มีอาณาจักรอันเคยรุ่งโรจน์มาเป็นเวลานาน มีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างชาติทั้งประเทศเอเชียด้วยกัน และประเทศตะวันตก ได้แก่ ประเทศเพื่อนบ้าน จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เปอร์เซีย โปรตุเกส สเปน ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นต้น
ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) อพท.เพื่อทำการศึกษาให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพื้นที่พิเศษ ที่สามารถพัฒนาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมกับชีวิตความเป็นอยู่ที่ทันสมัย แต่ยังคงความเป็นไทยอย่างยั่งยืน
หลังจากงาน World Expo 2020 คาดหวังให้บริเวณนี้ เป็นศูนย์ประชุมและศูนย์แสดงนิทรรศการที่ใหญ่ที่สุดในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่แสดงถึงวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่สืบทอดศิลปะ และวัฒนธรรมของแต่ละเชื้อชาติ เพื่อประโยชน์ในการศึกษา การพัฒนา การเรียนรู้ทางอารยธรรม และความเจริญรุ่งเรืองในอดีตให้กับคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้ ทางศูนย์ศิลปาชีพบางไทร และศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ ซึ่งทำงานในระดับนานาชาติ พร้อมจะเข้ามาบริหารจัดการต่อเนื่องได้ โดยไม่ต้องทิ้งร้างเหมือนอย่างหลายประเทศ
นายทศพล วังศิลาบัตร ประธานสภาอุตสาหกรรม (ส.อ.ท.) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ในวันที่ 12 มกราคม 2554 นายวินเซนท์ กอนซาเลส เลขาธิการสำนักงานมหกรรมโลก ผู้ดูแลกระบวนการนำเสนอและการตัดสินใจเลือกเจ้าภาพการจัดงาน WORLD EXPO 2020 จะเดินทางมาตรวจความพร้อมของ จ.พระนครศรีอยุธยา ในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก WORLD EXPO 2020 โดยจะมีการเสนอข้อมูลภาพรวมของจังหวัด แหล่งท่องเที่ยว พร้อมชมพื้นที่โดยรอบ เพื่อนำไปประมวลอีกครั้ง ว่า จังหวัดใดเหมาะสมที่จะได้รับการเสนอเป็นเจ้าภาพจัดงาน
นายวิทยา กล่าวว่า จ.พระนครศรีอยุธยา ยังคงใช้จุดเด่นความเป็นเมืองวัฒนธรรม ในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo 2020 สิ่งสำคัญ คือ จะได้เผยแพร่ผลิตภัณฑ์งานศิลปาชีพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้คนทั่วไปได้รู้จักมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ จ.พระนครศรีอยุธยา มีศักยภาพและความพร้อมรองรับมหกรรมโลก World Expo 2020 โดย ผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) ปี 2551 เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ มูลค่า 419,657 ล้านบาท รายได้เฉลี่ย (GPP PERCAPITA) 548,678 บาท/คน/ปี ผลิตภัณฑ์มวลรวมกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 1 และกรุงเทพฯ เฉลี่ยต่อหัว (per capita GPP) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกันจาก ปี 2550 ถึงปี 2552 มีค่าเท่ากับ 302,578 318,730 และ 320,884 บาทต่อปี ตามลำดับ สำหรับแนวโน้มของรายได้ประชากรในปี 2563 คาดการณ์ว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3
สำหรับศักยภาพและความเหมาะสมของจังหวัดในการจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 นายทศพล กล่าวว่า ความโดดเด่นของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเมืองมรดกโลก และมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญหลากหลายแสดงถึงประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตชุมชน โดยเฉพาะวิถีชีวิตริมสายน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย
“ผู้ที่เคยมาเยือนจังหวัดจะได้สัมผัสบรรยากาศของอยุธยา และความประทับใจในความอลังการของมรดกโลกเมืองเก่า อีกภาพของอยุธยาที่ถูกฉายชัดขึ้นว่าดินแดนแห่งนี้ คือ เมืองน้ำ และได้เห็นภาพของความแตกต่างหลากหลายที่สามารถหลอมรวมได้เป็นหนึ่งในอยุธยาแห่งนี้ นั่นคือ วิถีชีวิตของคนต่างศาสนา พุทธ คริสต์ และอิสลาม ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ อาศัยลำน้ำสี่สายนี้หล่อเลี้ยงชีวิตที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา”
นอกจากนี้ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นจังหวัดที่รู้จักกันดีว่าเคยเป็นอดีตเมืองหลวงของไทยมาก่อนที่มีอาณาจักรอันเคยรุ่งโรจน์มาเป็นเวลานาน มีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างชาติทั้งประเทศเอเชียด้วยกัน และประเทศตะวันตก ได้แก่ ประเทศเพื่อนบ้าน จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เปอร์เซีย โปรตุเกส สเปน ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นต้น
ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) อพท.เพื่อทำการศึกษาให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพื้นที่พิเศษ ที่สามารถพัฒนาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมกับชีวิตความเป็นอยู่ที่ทันสมัย แต่ยังคงความเป็นไทยอย่างยั่งยืน
หลังจากงาน World Expo 2020 คาดหวังให้บริเวณนี้ เป็นศูนย์ประชุมและศูนย์แสดงนิทรรศการที่ใหญ่ที่สุดในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่แสดงถึงวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่สืบทอดศิลปะ และวัฒนธรรมของแต่ละเชื้อชาติ เพื่อประโยชน์ในการศึกษา การพัฒนา การเรียนรู้ทางอารยธรรม และความเจริญรุ่งเรืองในอดีตให้กับคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้ ทางศูนย์ศิลปาชีพบางไทร และศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ ซึ่งทำงานในระดับนานาชาติ พร้อมจะเข้ามาบริหารจัดการต่อเนื่องได้ โดยไม่ต้องทิ้งร้างเหมือนอย่างหลายประเทศ
