คณะรัฐมนตรี ของนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยตามที่ฝ่ายความมั่นคงเสนอให้ประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 8 จังหวัด โดยจะครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดในเขตกรุงเทพฯ และนนทบุรี ขณะที่จะควบคุมในบางอำเภอที่เป็นเส้นทางในการเดินทางเข้ามาชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง คือ ปทุมธานี อยุธยา สมุทรสาคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และนครปฐม ตั้งแต่วันที่ 11 – 23 มี.ค. เพื่อควบคุมกลุ่มคนเสื้อแดงก่อความไม่สงบเผาบ้านเผาเมืองเหมือนครั้งสงกรานต์เลือดปีที่แล้วที่ทำเอาคนกรุงเบื่อระอาเต็มทน
กับประเด็นนี้หลายๆ ฝ่ายต่างออกมาให้ความเห็น โดยในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ***สุชาติ สักการโกศล*** ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. เชื่อว่าน่าจะมีผลต่อความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายในประเทศระยะสั้นๆ เนื่องช่วงที่ผ่านมา ประชาชน และนักลงทุน ได้เผชิญสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองมาระยะหนึ่งแล้ว จึงพอจะเข้าใจได้ และสามารถปรับตัวกับสถานการณ์ได้ระดับหนึ่ง
ซึ่งภาวะดังกล่าวคงไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว และคงไม่มีผลต่อการนำเรื่องดังกล่าว มากำหนดทิศทางของตลาดและการลงทุนในระยะยาวแต่อย่างใด แต่ที่ต้องจับตาดูเป็นพิเศษ น่าจะเป็นเรื่องของผลกระทบที่จะมีต่อภาคการท่องเที่ยว เพราะรายได้จากการท่องเที่ยว เป็นส่วนสำคัญต่อการขยายตัวของจีดีพี
แม้จะเป็นวันดีเดย์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศชุมนุมใหญ่แต่***กรณ์ จาติกวณิช*** ขุนคลังโลกก็ยังยืนยันที่จะยกทีมไปโรดโชว์แดนปลาดิบวันที่ 12-14 มี.ค.นี้แน่นอนไม่ยกเลิกกำหนดการโดยเด็ดขาด เพราะปิ๊งไอเดียที่ว่า ช่วงที่ประเทศเกิดปัญหาจะต้องใช้โอกาสนี้ไปชี้แจงให้นักลงทุนเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย รวมทั้งถือโอกาสชี้แจงกรณีมาบตาพุดที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าแก้ไขอยู่ด้วย
ที่สำคัญที่ขุนคลังโลกคนนี้ให้น้ำหนักการเดินทางไปในครั้งนี้เนื่องจากญี่ปุ่นถือว่าเป็นมหามิตรและเป็นมิตรแท้สำหรับการลงทุนในประเทศไทยมาอย่างยาวนานให้เชื่อมั่นในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น เพราะในโลกการแข่งขันของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรต้องไปกล่อมไว้หน่อยไม่งั้นถอนการลงทุนไปจากประเทศไทยแล้วแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งที่ปลุกปั้นมากับมือจะสูญเปล่า!!!
ดูที่ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดที่ 718.77 จุด ลดลง 1.52 จุด หรือ 0.21% มูลค่าการซื้อขาย 13,701.96 ล้านบาท ซึ่งทั้งวันเคลื่อนไหวสลับกันทั้งในแดนบวกและแดนลบ นักวิเคราะห์เขาประเมินว่า ปัจจัยกดดันหลักมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มร้อนแรงขึ้น สงครามข่าวสารที่ออกมายิ่งใกล้วันดีเดย์เท่าไหร่ข่าวลือต่างๆ ยิ่งปล่อยออกมามากขึ้น
ที่แน่ๆ สถานการณ์อันคลุมเครือแบบนี้ไม่มีใครที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ? และ ณ วินาทีใด ? การออกพ.ร.บ.ความมั่นคงออกมาคุมก็ยังไม่แน่ใจเต็มร้อยว่าจะคุมสถานการณ์ได้มากแค่ไหน หากเกิดอะไรรุนแรงขึ้นจากสถานการณ์การเมืองนักลงทุนทั้งหลายก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี แต่ที่เซฟที่สุดควรมีหุ้นปันผลอยู่ในพอร์ตเพื่อความอุ่นใจ…
กับประเด็นนี้หลายๆ ฝ่ายต่างออกมาให้ความเห็น โดยในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ***สุชาติ สักการโกศล*** ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. เชื่อว่าน่าจะมีผลต่อความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายในประเทศระยะสั้นๆ เนื่องช่วงที่ผ่านมา ประชาชน และนักลงทุน ได้เผชิญสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองมาระยะหนึ่งแล้ว จึงพอจะเข้าใจได้ และสามารถปรับตัวกับสถานการณ์ได้ระดับหนึ่ง
ซึ่งภาวะดังกล่าวคงไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว และคงไม่มีผลต่อการนำเรื่องดังกล่าว มากำหนดทิศทางของตลาดและการลงทุนในระยะยาวแต่อย่างใด แต่ที่ต้องจับตาดูเป็นพิเศษ น่าจะเป็นเรื่องของผลกระทบที่จะมีต่อภาคการท่องเที่ยว เพราะรายได้จากการท่องเที่ยว เป็นส่วนสำคัญต่อการขยายตัวของจีดีพี
แม้จะเป็นวันดีเดย์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศชุมนุมใหญ่แต่***กรณ์ จาติกวณิช*** ขุนคลังโลกก็ยังยืนยันที่จะยกทีมไปโรดโชว์แดนปลาดิบวันที่ 12-14 มี.ค.นี้แน่นอนไม่ยกเลิกกำหนดการโดยเด็ดขาด เพราะปิ๊งไอเดียที่ว่า ช่วงที่ประเทศเกิดปัญหาจะต้องใช้โอกาสนี้ไปชี้แจงให้นักลงทุนเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย รวมทั้งถือโอกาสชี้แจงกรณีมาบตาพุดที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าแก้ไขอยู่ด้วย
ที่สำคัญที่ขุนคลังโลกคนนี้ให้น้ำหนักการเดินทางไปในครั้งนี้เนื่องจากญี่ปุ่นถือว่าเป็นมหามิตรและเป็นมิตรแท้สำหรับการลงทุนในประเทศไทยมาอย่างยาวนานให้เชื่อมั่นในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น เพราะในโลกการแข่งขันของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรต้องไปกล่อมไว้หน่อยไม่งั้นถอนการลงทุนไปจากประเทศไทยแล้วแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งที่ปลุกปั้นมากับมือจะสูญเปล่า!!!
ดูที่ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดที่ 718.77 จุด ลดลง 1.52 จุด หรือ 0.21% มูลค่าการซื้อขาย 13,701.96 ล้านบาท ซึ่งทั้งวันเคลื่อนไหวสลับกันทั้งในแดนบวกและแดนลบ นักวิเคราะห์เขาประเมินว่า ปัจจัยกดดันหลักมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มร้อนแรงขึ้น สงครามข่าวสารที่ออกมายิ่งใกล้วันดีเดย์เท่าไหร่ข่าวลือต่างๆ ยิ่งปล่อยออกมามากขึ้น
ที่แน่ๆ สถานการณ์อันคลุมเครือแบบนี้ไม่มีใครที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ? และ ณ วินาทีใด ? การออกพ.ร.บ.ความมั่นคงออกมาคุมก็ยังไม่แน่ใจเต็มร้อยว่าจะคุมสถานการณ์ได้มากแค่ไหน หากเกิดอะไรรุนแรงขึ้นจากสถานการณ์การเมืองนักลงทุนทั้งหลายก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี แต่ที่เซฟที่สุดควรมีหุ้นปันผลอยู่ในพอร์ตเพื่อความอุ่นใจ…