ส.วิจัยการตลาด ชี้ เทรนด์วิจัยออนไลน์ทั่วโลกมาแรงโตพรวด 2 หลัก เร่งปรับตัวรับมือ พัฒนาบุคลากรป้อนความรู้ในเชิงกลยุทธ์ พลิกบทบาทสู่ที่ปรึกษาเอเยนซี่ ระบุตลาดวิจัยโลกปีนี้ฟื้นโต 5% หลังปี 2552 พิษเศรษฐกิจกระทบตลาดหดตัว 5-9% ส่วนเอเชียกลายเป็นตลาดดาวรุ่ง ด้านตลาดวิจัยไทยโต 10-15% จาก 3,150 ล้านบาท
นางดารณี เจริญรัชต์ภาคย์ อดีตนายกสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปีนี้เทรนด์ตลาดวิจัยโลก มูลค่า 3.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ กลับมามีอัตราการเติบโต 5% หลังจากเมื่อปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ตลาดหดตัวลง 5-9% เนื่องจากบริษัทใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลก มีรายได้ลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่า ปีนี้ตลาดวิจัยในเอเชียจะมีอัตราการเติบโตมากกว่า 5% โดยจะเป็นตลาดที่เติบโตสูงเมื่อเทียบกับทวีปอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศจีน และอินเดีย นับว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ขณะที่อเมริกา การเติบโตชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการวิจัยผ่านทางออนไลน์ หรือจากเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือกระทั่งไฮไฟว์ เริ่มมีบทบาทและเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก ดังนั้น บทบาทของบริษัทวิจัยจึงต้องเปลี่ยนแปลงไป โดยหันมาเป็นที่ปรึกษาและวิเคราะห์มากยิ่งขึ้น ด้วยการฝึกอบรมบุคลากรในเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนเน้นการบริหารจัดการ หรือกระทั่งการร่วมเป็นพันธมิตรกับวิจัยผ่านทางออนไลน์ เพื่อป้อนข้อมูลให้แก่บริษัทวิจัย ทั้งนี้ เพื่อรองรับกับเทรนด์การวิจัยผ่านทางออนไลน์ที่กำลังมาแรง และมีความได้เปรียบด้านความรวดเร็วในการเก็บข้อมูล
“บริษัทวิจัยกำลังได้รับผลกระทบจากเทรน์วิจัยออนไลน์ ผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อย่างมาก ทำให้ขณะนี้เราต้องหาแนวทางการปรับตัว โดยมุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ และสร้างสรรค์บุคลากร การพัฒนาการสื่อสาร และประการสำคัญ คือ การวิเคราะห์ตลาดและในเชิงกลยุทธ์ หรือกลายเป็นที่ปรึกษาของบริษัทเอเยนซี”
สำหรับตลาดวิจัยประเทศไทย มีมูลค่า 3,150 ล้านบาท ปีที่ผ่านมาเติบโต 5% และปีนี้คาดว่าจะกลับมามีอัตราการเติบโต 10-15% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามสำหรับตลาดวิจัย จัดว่าเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญสำหรับผู้ดำเนินธุรกิจ เพราะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของพฤติกรรมผู้บริโภคที่มาจาก 3 ปัจจัย คือ การทำตลาดบทบาทของสื่อใหม่ๆ และสภาพเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ผู้ประกอบการต้องการข้อมูลวิจัยที่แม่นยำ เพื่อดำเนินตลาดได้อย่างสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค
นางดารณี เจริญรัชต์ภาคย์ อดีตนายกสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปีนี้เทรนด์ตลาดวิจัยโลก มูลค่า 3.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ กลับมามีอัตราการเติบโต 5% หลังจากเมื่อปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ตลาดหดตัวลง 5-9% เนื่องจากบริษัทใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลก มีรายได้ลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่า ปีนี้ตลาดวิจัยในเอเชียจะมีอัตราการเติบโตมากกว่า 5% โดยจะเป็นตลาดที่เติบโตสูงเมื่อเทียบกับทวีปอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศจีน และอินเดีย นับว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ขณะที่อเมริกา การเติบโตชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการวิจัยผ่านทางออนไลน์ หรือจากเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือกระทั่งไฮไฟว์ เริ่มมีบทบาทและเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก ดังนั้น บทบาทของบริษัทวิจัยจึงต้องเปลี่ยนแปลงไป โดยหันมาเป็นที่ปรึกษาและวิเคราะห์มากยิ่งขึ้น ด้วยการฝึกอบรมบุคลากรในเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนเน้นการบริหารจัดการ หรือกระทั่งการร่วมเป็นพันธมิตรกับวิจัยผ่านทางออนไลน์ เพื่อป้อนข้อมูลให้แก่บริษัทวิจัย ทั้งนี้ เพื่อรองรับกับเทรนด์การวิจัยผ่านทางออนไลน์ที่กำลังมาแรง และมีความได้เปรียบด้านความรวดเร็วในการเก็บข้อมูล
“บริษัทวิจัยกำลังได้รับผลกระทบจากเทรน์วิจัยออนไลน์ ผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อย่างมาก ทำให้ขณะนี้เราต้องหาแนวทางการปรับตัว โดยมุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ และสร้างสรรค์บุคลากร การพัฒนาการสื่อสาร และประการสำคัญ คือ การวิเคราะห์ตลาดและในเชิงกลยุทธ์ หรือกลายเป็นที่ปรึกษาของบริษัทเอเยนซี”
สำหรับตลาดวิจัยประเทศไทย มีมูลค่า 3,150 ล้านบาท ปีที่ผ่านมาเติบโต 5% และปีนี้คาดว่าจะกลับมามีอัตราการเติบโต 10-15% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามสำหรับตลาดวิจัย จัดว่าเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญสำหรับผู้ดำเนินธุรกิจ เพราะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของพฤติกรรมผู้บริโภคที่มาจาก 3 ปัจจัย คือ การทำตลาดบทบาทของสื่อใหม่ๆ และสภาพเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ผู้ประกอบการต้องการข้อมูลวิจัยที่แม่นยำ เพื่อดำเนินตลาดได้อย่างสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค