ASTVผู้จัดการรายวัน - “กมธ.โทรคมนาคมรัฐสภา” จี้บอร์ด อสมท ทบทวนต่อสัญญาช่อง 3 หึ่งบีอีซีฯ เสนอ 100 ล้านให้กรรมาธิการฯ แลกกับการเลิกขุดคุ้ยและให้ต่อสัญญา เตือนบอร์ดใหญ่ต่อสัญญาช่อง 3 อีก 10 ปี มีหวังขาดทุนกว่าหมื่นล้านแน่
นายฮอชาลี ม่าเหร็ม ส.ส.สตูล พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานอนุกรรมาธิการศึกษากฎหมายและระเบียบทางด้านสื่อสารและโทรคมนาคม กล่าวภายหลังการประชุมว่า วันนี้ (17 ก.พ.) คณะกรรมาธิการสื่อสารและโทรคมนาคมชุดใหญ่ได้มอบหมายให้อนุกรรมาธิการฝ่ายกฎหมายได้ไปศึกษาการต่อสัญญาช่อง 3 ระหว่าง บมจ.อสมทกับบริษัทบางกอกเอนเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด โดยอนุกรรมาธิการได้ใช้เวลาศึกษาประมาณ 1 เดือน ได้เชิญฝ่ายอสมท อดีตผอ.อสมท มาให้ข้อมูลด้วย และยังได้ศึกษาสัญญาช่อง 3 และอสมท ตั้งแต่ปี 2532 มีข้อสรุปเป็นเอกสาร 1 ชุด จะเสนอต่อนายกรัฐมนตรี รัฐบาล รัฐสภา และบอร์ด ต่อไป
จากข้อมูลจากการศึกษาของกรรมาธิการฯพบว่า ซึ่งอสมท น่าจะได้รับผลตอบแทนจากบริษัทบางกอกฯที่บริหารช่อง 3 มากกว่านี้ และอยากให้อสมท ทบทวนการต่อสัญญา พร้อมกับดูเรื่องความรอบคอบในส่วนของรายได้ที่อสมท จะได้รับด้วย หากจะมีการต่อสัญญาหรือไม่ อำนาจขึ้นอยู่กับบอร์ดอสมท
นายฮอชาลี กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ทางอนุกรรมาธิการฯยังได้ตั้งข้อสังเกตุว่า อสมท ควรตรวจสอบรายได้ช่อง3 เพราะรายได้ช่อง 3 มีเข้ามาจำนวนมาก และการที่อสมทได้รายได้ตามสัญญาระบุไว้ว่าควรได้ไม่น้อยกว่า 2 พันล้านบาท โดยเฉลี่ยได้ปีละ 200 ล้านบาท แต่ผลค่าตอบแทนช่อง 3 มีจำนวนมาก ซึ่ง อสมท น่าจะได้เพิ่มมากกว่านี้
“ในช่วงเดือนมีนาคม 2553 นี้สัญญาของช่อง 3 จะสิ้นสุดลง ถ้าหากอสมท ต่อสัญญาให้ บริษัท บางกอกฯ อีก 10 ปี ซึ่งจะครบสัญญาในปี 2563 จะส่งผลให้อสมท จะขาดรายได้ถึงกว่าหมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน ผมมองว่า อสมทน่าจะพิจารณาในส่วนนี้ด้วย ซึ่งทางอนุกรรมาธิการฯยังได้นำความคิดเห็นของอาจารย์จรัญ ภักดีธนากูล ที่ได้ศึกษาเรื่องนี้เมื่อ 26 ธ.ค. 2549 มาประกอบด้วย ที่ระบุว่า ควรหาแนวทางเพิ่มค่าตอบแทนให้ อสมท มากขึ้นอย่างเป็นธรรมเพราะที่ผ่านมาอสมท ขาดทุนถึงกว่า 5 พันล้านบาท”
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเสนอรายละเอียดต่อรัฐบาลได้เมื่อไหร่ นายฮอชาลี กล่าวว่า คาดว่าสัปดาห์หน้าเรื่องนี้จะแล้วเสร็จ และจะเสนอต่อรัฐบาลได้ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าสัญญาช่อง 3 จะหมดภายในเดือนมีนาคมนี้ก็ตาม เชื่อว่าบอร์ดจะหาทางออกในเรื่องนี้ได้ขึ้นอยู่กับการพูดคุยของช่อง 3 กับบอร์ดว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากการประชุมคณะอนุกรรมาธิการศึกษากฎหมายและระเบียบทางด้านสื่อสารและโทรคมนาคม แจ้งว่าจะมีการแถลงข่าว แต่ภายหลังการประชุมกลับไม่มีการแถลงข่าวให้สื่อมวลชนรับทราบอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
**แฉบอร์ด อสมท กลับลำ
ทั้งนี้มีข้อสังเกตุที่หลากหลายว่า การที่ บมจ.อสมท จะต่อสัญญาการบริหารช่อง 3 ให้กับ กลุ่มบีอีซีเวิลด์ต่อไปอีก 10 ปีนั้น ด้วย ค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าตอบแทนเดิม 2 พันล้านบาทเศษ อีกเพียง 405 ล้านบาทเท่านั้น ดูเหมือนว่า อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเสียแล้ว
โดย บมจ.อสมท ได้มีหนังสือ ที่ นร 6153/3485 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2552 ถึง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อแจ้งความคืบหน้าในการเจรจากับทาง บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้
เรื่อง รับข้อเสนอของ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด
เรียน กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ด้วย คณะกรรมการ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในการประชุมครั้งที่ 19/2552 ในวันที่13 พฤศจิกายน 2552 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 6 อาคารสำนักงาน บมจ. อสมท 63/1ถ.พระราม 9 ห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร มีมติรับหลักการในข้อเสนอของ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ในการจ่ายผลประโยชน์ 405 ล้านบาท ให้กับ บมจ. อสมท ในคราวเดียว และจะได้พิจารณาในเรื่องแนวทางปฏิบัติตลอดทั้งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรายละเอียดในสัญญาสำหรับการดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอดังกล่าว และจะได้แจ้งให้บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์จำกัด เพื่อดำเนินการให้เป็นผลต่อไป
ทั้งนี้ความหมายของหนังสือดังกล่าวเหมือนกับว่าเป็นการสรุปของ ของบอร์ดอสมทชุดใหญ่แล้วว่า ได้รับข้อเสนอของ บางกอกฯ กับจำนวนเงิน 405 ล้านบาท
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ บอร์ด อสมท เองก็มีแนวโน้มที่จะไม่ต่อสัญญาให้ตั้งแต่ช่วงแรกแล้ว เพราะมีความเห็นว่า บางกอกฯทำผิดสัญญาบางประการ กับอสมท อีกทั้งค่าตอบแทนพิเศษที่ให้อสมทเพิ่มขึ้นนั้นต่ำเกินไป
โดยในช่วงแรกนั้น ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ประธานบอร์ด มีหนังสือสั่งการให้ผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2552 ความตอนหนึ่งว่า: “ให้ฝ่ายกฎหมายยกร่างหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้ง เนื่องจาก บ.บางกอกเอนเตอร์เทนเม้นต์ ฝ่าฝืนข้อสัญญาโดยให้ผู้อื่นเป็นผู้ประกอบการแทน เสนอให้คณะ กก.อ.ส.ม.ท. พิจารณาเห็นชอบในที่ประชุมคราวต่อไป”
นี่คือสิ่งยืนยันได้ว่า บอร์ดอสมท หรืออย่างน้อยตัวของ ศ.ดร.สุรพลเองก็เห็นความผิดของบางกอกฯแล้วที่ไม่สมควรต่อสัญญาให้อีก แต่ทำไมในที่สุด ก็กลับลำด้วยการให้บอร์ด อสมท ยอมรับเงิน 400 กว่าล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อครั้งที่ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ประธานกรรมการ บมจ. อ.ส.ม.ท. เข้าให้ข้อมูลกับทาง คณะอนุกรรมาธิการ ในคณะกรรมาธิการสื่อสารและโทรคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ได้จับเข่าคุยกันส่วนตัวกับผู้บริหารของ บางกอกเอนเตอร์เทนเม้นต์ แล้วว่าหากขยายสัญญาตามเดิมไปอีก 10 ปี ทางบริษัทจะจ่ายเงินล่วงหน้าเพิ่มให้ อสมทอีก 430 ล้านบาท ซึ่งยากจะหาใครมาลงทุนจ่ายเงินได้มากขนาดนี้”
หรืออาจจะเป็นเพราะว่า น่าจะมีใบสั่งจากผู้มีอำนาจในมุมมืด ที่ทำให้บอร์ดอสมทต้องปฎิบัติตาม อย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งยังมีการตั้งข้อสังเกตุด้วยว่า คณะกรรมการหรือบอร์ดอสมทชุดที่มีศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ เป็นประธานนี้ ได้อนุมัติให้มีการต่อสัญญาอีก 10 ปี ถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่า ได้นำผลสรุปดังกล่าวนี้ ผ่านที่ประชุมผู้ถือหุ้นบมจ.อสมท อย่างถูกต้อง หรือไม่หรือยัง ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนฯ
ว่ากันว่า เมื่อไม่นานมานี้ ทางข้าราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชงเรื่องดังกล่าวนี้ให้นายสาทิตย์ วงษ์หนองเตย รัฐมนตีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พิจารณาว่า ไม่ต้องนำเรื่องการต่อสัญญาช่อง 3 นี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด เพื่อ จะได้หลีกเลี่ยงพระราชบัญญัติร่วมทุนนั่นเอง เพื่อให้ อสมท สามารถจัดการเองได้ทันที
โดยที่ข้อมูลวงในระบุว่า นายสาทิตย์ได้ลงนามไปเรียบร้อยแล้วว่า ไม่ต้องนำเรื่องดังกล่าวนี้เข้าสู่การประชุม ครม.
ในอีกมุมหนึ่ง มีกระแสข่าวว่า กรรมาธิการบางคนได้ถูกรับเชิญไปพบและทานข้าวร่วมกับผู้บริหารของกลุ่มบีอีซีบางคน ซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า เป็นการพบปะที่มีการยื่นข้อเสนอและผลประโยชน์ให้ เพื่อแลกกับการให้เรื่องการต่อสัญญาช่อง 3 ผ่านไปด้วยดี ไม่ต้องมีการขุดคุ้ยข้อมูลหรือสืบสาวราวเรื่องอะไรอีก ด้วยวงเงินที่อยู่ในระดับ ร้อยล้านบาทเลยทีเดียว แต่ไม่เป็นผล เพราะกรรมาธิการคนดังกล่าวไม่เล่นด้วย