ไทย-เยอรมันฯ ทุ่ม 1,000 ล้านบาท ผุดโรงงานอาหารแปรรูปเนื้อสัตว์แห่งใหม่ เพิ่มกำลัง 2 เท่าตัว รับแผน 3 ปี บุกตลาดต่างประเทศเต็มสูบ ปั้นแบรนด์ทีจีเอ็มบุกเอเชีย อเมริกา หลังคว้ารางวัลการันตี จ่อ 5ปี แตกไลน์อาหารแช่แข็งต่อยอดธุรกิจ เท 30 ล้านบาท สร้างแบรนด์รับการแข่งขันเดือด หวัง 2-3ปีเข้าตลาดหลักทรัพย์ ตั้งเป้า 3 ปี รายได้โต 2 เท่าตัว กว่า 3,000 ล้านบาท
นายวัฒนา พัวพัฒนขจร รองประธาน บริษัท ไทย-เยอรมัน มีท โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเนื้อสัตว์แบรนด์ทีจีเอ็ม เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทได้ทุ่มงบลงทุน 1,000 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งใหม่ บนพื้นที่ 12 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อขยายกำลังการผลิตอาหารแปรรูปเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว จากโรงงานแห่งแรกผลิต 25 ตันต่อวันเพิ่มเป็น 40-50 ตันต่อวัน ซึ่งคาดว่าโรงงานแล้วเสร็จกลางปี 2554 รองรับความต้องการตลาดได้ถึง 10 ปี
โดยการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับกับเป้าหมายแผนขยายตลาดต่างประเทศภายในระยะ 3 ปี เพิ่มสัดส่วนรายได้จาด 10% เป็น 30-40% โดยการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน(อาฟตา) ส่งผลให้ภาษีนำเข้าลดลง 0% มองว่ากลุ่มอาหารไม่ได้ผลประโยชน์มากนัก
สำหรับการทำตลาดต่างประเทศ บริษัทเน้นเจาะตลาดเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น เป็นต้น และใน 3-5 ปี ขยายตลาดอเมริกาและยุโรป จากปัจจุบันบริษัททำตลาดในอาเซียน และขยายตลาดในประเทศลาว สิงคโปร์ โดยจะส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูประดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ “ทีจีเอ็ม” เพราะเป็นแบรนด์ที่ได้รับ 15 รางวัล จากการประกวดอาหารระดับนานาชาติ 2009 DLG Award Winnerโดยสถาบันภาคเกษตรและอาหารของโลก ที่ ประเทศเยอรมัน ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเข้าทำตลาดได้ง่ายมากขึ้น โดยบริษัทจะรุกช่องทางโมเดิร์นเทรด และโรงแรม เป็นต้น
“ก่อนหน้านี้บริษัทวางแผนลงทุนโรงงานเมื่อปีที่ผ่านมา แต่จากสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย ทำให้บริษัทชะลอแผนการลงทุนไปก่อน สำหรับปีนี้บริษัทมองว่าภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แต่ก็ยังมีความกังวลปัจจัยลบการเมืองไทย ซึ่งบริษัทคงรอดูสถานการณ์ และแผนการลงทุนสามารถชะลอไปก่อนหากเกิดปัจจัยลบ”
สำหรับแนวทางการตลาดในประเทศ บริษัทวางแผนแตกไลน์กลุ่มสินค้าอาหารแช่แข็งในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ ล่าสุดการเปิดตัวข้าวไส้กรอกแกงเขียวหวาน และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างศึกษาตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยปีนี้บริษัทได้ทุ่มงบ 30 -35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมากว่า 20 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปเนื้อสัตว์ปีนี้ใช้เน้นขยายสินค้าหลากหลาย จากปัจจุบันมีด้วยกัน 300 รายการ เพื่อรองรับกับการแข่งขันที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าหมักแห้ง ไส้กรอก แฮม ซึ่งเป็นสินค้าเรือธงที่สร้างความแตกต่างกับสินค้าคู่แข่ง
ส่วนด้านช่องทางจำหน่าย ดำเนินการในเชิงรุกช่องทางขายตรงตามตลาดสด เพื่อทำให้สินค้าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายมากขึ้น จากปัจจุบันสินค้าของบริษัทมีราคาสูงกว่า 10% อย่างไรก็ตามในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้ บริษัทเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ และปีนี้เตรียมเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 20 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท
ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเนื้อสัตว์ระดับบนในช่องทางโมเดิร์นเทรดมูลค่า 3,000-4,000 ล้านบาท ปีนี้มีอัตราการเติบโต 15-20% โดยแบ่งเป็น กลุ่มหมักแห้ง 10-15% ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่ง 25% เป็นอันดับ1หรือ2 ของตลาด สำหรับรายได้โดยรวมปีนี้ 1,300 ล้านบาท ภายใต้ 4 แบรนด์ คือ ทีจีเอ็ม 1,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโต 15% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ
ส่วนอีกเหลือ 300 ล้านบาท เป็น 3 แบรนด์ ได้แก่ หมู 2 ตัว เจาะกลุ่มระดับกลาง เชเฟอร์ เจาะเฉพาะกลุ่ม และจากการขยายแผนในเชิงรุก 3 ปี รายได้เติบโต 2 เท่าตัว จาก 1,300 ล้านบาท เพิ่มเป็นกว่า 3,000 ล้านบาท
นายวัฒนา พัวพัฒนขจร รองประธาน บริษัท ไทย-เยอรมัน มีท โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเนื้อสัตว์แบรนด์ทีจีเอ็ม เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทได้ทุ่มงบลงทุน 1,000 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งใหม่ บนพื้นที่ 12 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อขยายกำลังการผลิตอาหารแปรรูปเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว จากโรงงานแห่งแรกผลิต 25 ตันต่อวันเพิ่มเป็น 40-50 ตันต่อวัน ซึ่งคาดว่าโรงงานแล้วเสร็จกลางปี 2554 รองรับความต้องการตลาดได้ถึง 10 ปี
โดยการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับกับเป้าหมายแผนขยายตลาดต่างประเทศภายในระยะ 3 ปี เพิ่มสัดส่วนรายได้จาด 10% เป็น 30-40% โดยการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน(อาฟตา) ส่งผลให้ภาษีนำเข้าลดลง 0% มองว่ากลุ่มอาหารไม่ได้ผลประโยชน์มากนัก
สำหรับการทำตลาดต่างประเทศ บริษัทเน้นเจาะตลาดเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น เป็นต้น และใน 3-5 ปี ขยายตลาดอเมริกาและยุโรป จากปัจจุบันบริษัททำตลาดในอาเซียน และขยายตลาดในประเทศลาว สิงคโปร์ โดยจะส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูประดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ “ทีจีเอ็ม” เพราะเป็นแบรนด์ที่ได้รับ 15 รางวัล จากการประกวดอาหารระดับนานาชาติ 2009 DLG Award Winnerโดยสถาบันภาคเกษตรและอาหารของโลก ที่ ประเทศเยอรมัน ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเข้าทำตลาดได้ง่ายมากขึ้น โดยบริษัทจะรุกช่องทางโมเดิร์นเทรด และโรงแรม เป็นต้น
“ก่อนหน้านี้บริษัทวางแผนลงทุนโรงงานเมื่อปีที่ผ่านมา แต่จากสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย ทำให้บริษัทชะลอแผนการลงทุนไปก่อน สำหรับปีนี้บริษัทมองว่าภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แต่ก็ยังมีความกังวลปัจจัยลบการเมืองไทย ซึ่งบริษัทคงรอดูสถานการณ์ และแผนการลงทุนสามารถชะลอไปก่อนหากเกิดปัจจัยลบ”
สำหรับแนวทางการตลาดในประเทศ บริษัทวางแผนแตกไลน์กลุ่มสินค้าอาหารแช่แข็งในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ ล่าสุดการเปิดตัวข้าวไส้กรอกแกงเขียวหวาน และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างศึกษาตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยปีนี้บริษัทได้ทุ่มงบ 30 -35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมากว่า 20 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปเนื้อสัตว์ปีนี้ใช้เน้นขยายสินค้าหลากหลาย จากปัจจุบันมีด้วยกัน 300 รายการ เพื่อรองรับกับการแข่งขันที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าหมักแห้ง ไส้กรอก แฮม ซึ่งเป็นสินค้าเรือธงที่สร้างความแตกต่างกับสินค้าคู่แข่ง
ส่วนด้านช่องทางจำหน่าย ดำเนินการในเชิงรุกช่องทางขายตรงตามตลาดสด เพื่อทำให้สินค้าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายมากขึ้น จากปัจจุบันสินค้าของบริษัทมีราคาสูงกว่า 10% อย่างไรก็ตามในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้ บริษัทเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ และปีนี้เตรียมเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 20 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท
ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเนื้อสัตว์ระดับบนในช่องทางโมเดิร์นเทรดมูลค่า 3,000-4,000 ล้านบาท ปีนี้มีอัตราการเติบโต 15-20% โดยแบ่งเป็น กลุ่มหมักแห้ง 10-15% ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่ง 25% เป็นอันดับ1หรือ2 ของตลาด สำหรับรายได้โดยรวมปีนี้ 1,300 ล้านบาท ภายใต้ 4 แบรนด์ คือ ทีจีเอ็ม 1,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโต 15% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ
ส่วนอีกเหลือ 300 ล้านบาท เป็น 3 แบรนด์ ได้แก่ หมู 2 ตัว เจาะกลุ่มระดับกลาง เชเฟอร์ เจาะเฉพาะกลุ่ม และจากการขยายแผนในเชิงรุก 3 ปี รายได้เติบโต 2 เท่าตัว จาก 1,300 ล้านบาท เพิ่มเป็นกว่า 3,000 ล้านบาท