ฟอร์ดสะเทือน! จากกรณีมาบตาพุด ทำให้แผนประกาศลงทุนตั้งโรงานแห่งใหม่มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ชะลอไม่มีกำหนด แต่ยืนยันทุกอย่างยังไม่เปลี่ยน เพียงขอความชัดเจนจากรัฐบาล แถมยังเจอพนักงานสหภาพแรงงานฟอร์ดและมาสด้าประท้วง จนยอดขายเดือนมกราคมหายไปจำนวนหนึ่ง เผยสถานการณ์ล่าสุดปกติพนักงานส่วนใหญ่รับสัญญาจ้างฉบับใหม่และเปิดไลน์ผลิตเช่นเดิม
นายสาโรชน์ เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดเผยว่า กรณีที่มีรายงานข่าวว่าฟอร์ดอาจจะย้ายการลงทุนในไทย หากรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหากรณีมาบตะพุดได้ เรื่องนี้ฟอร์ดยืนยันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นโยบายเกี่ยวกับการลงทุนยังคงเช่นเดิม
“แน่นอนว่ากรณีมาบตาพุดส่งผลต่อระยะเวลาของแผนงาน แต่สิ่งที่ฟอร์ดอยากทราบจากรัฐบาลไทย คือความชัดเจนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ในการแก้ปัญหา และจะให้เราอย่างไร เพื่อที่จะได้กำหนดแผนงานได้ถูกต้อง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะฟอร์ดเท่านั้น แต่เอกชนผู้ลงทุนทุกรายล้วนอยากทราบความชัดเจนตรงนี้”
ส่วนกรณีที่พนักงานสหภาพแรงงานโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ หรือเอเอที ได้มีการหยุดงานไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา จนต้องปิดโรงงานและไม่สามารถผลิตสินค้าได้ ส่งผลให้ไม่สามารถส่งมอบรถกับลูกค้าได้ทัน ทำให้ยอดขายฟอร์ดในช่วงเดือนมกราคมหายจำนวนหนึ่ง แต่ขณะนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย พนักงานส่วนใหญ่ได้กลับมาทำงานเช่นเดิม และสามารถเปิดไลน์ผลิตเช่นเดิม
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เปิดเผยว่า ฟอร์ดมีแผนการจะลงทุนเพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่สำหรับผลิตรถยนต์นั่ง ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนเกือบ 2 หมื่นล้านบาท โดยตามแผนจะแถลงข่าวการลงทุนในช่วงเดือนตุลาคม 2552 ที่ผ่านมา แต่เมื่อเกิดปัญหาข้อกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้แผนงานทุกอย่างต้องเลื่อนออกไปและหากยังไม่มีข้อสรุปย่อมส่งผลกระทบต่อการลงทุนแน่นอน
ทั้งนี้มีแถลงการจากฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนีถึงการลงทุนในไทยว่า ในการประเมินความเป็นไปได้ของโอกาสการลงทุน เพื่อขยายการดำเนินธุรกิจของเราในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ฟอร์ดได้มีโอกาสหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับรัฐบาลไทยหลายครั้ง ถึงความเป็นไปได้ในการลงทุนครั้งใหม่ของบริษัท ฯ ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ฟอร์ดมีนโยบายที่ชัดเจนทั้งในด้านการปฏิบัติงาน ผลิตภัณฑ์ และบริการทั้งหมดนั้น จะต้องดำเนินการหรือใช้งาน โดยรับผิดชอบในการปกป้องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และไม่ว่าบริษัทฯ จะดำเนินธุรกิจในประเทศใดก็ตาม ฟอร์ดได้ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ อย่างเคร่งครัด ซึ่งตรงตามหรือเกินกว่าข้อกำหนดและกฎระเบียบของประเทศต่างๆซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ฟอร์ดใช้ในการดำเนินธุรกิจทั่วโลก
นาย คิโยทากะ โซบุดะ ประธานบริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (เอเอที) ได้ออกแถลงการณ์ว่า คณะผู้บริหารทราบว่าสมาชิกสหภาพแรงงานฟอร์ด และมาสด้า ประเทศไทย ได้ไปรวมตัวกันที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวานนี้ เป็นการให้ข้อมูลที่บิดเบือนจากความเป็นจริง โดยเอเอทีได้ปิดโรงงานเนื่องจากเกิดการกระทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของโรงานผลิตในจังหวัดระยองซึ่งบริษัทเชื่อว่าเกิดจากการเจรจากับทางสหภาพแรงงานฟอร์ดและมาสด้า และเป็นการกระทำของจากพนักงานเพียงบางกลุ่มเท่านั้น
จากนั้นเอเอทีได้มีการเจรจากับทางสหภาพแรงงานอย่างต่อเนื่อง จนบรรลุข้อตกลงที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจากจำนวนพนักงานเอเอที 3,550 คนที่ได้เซ็นสัญญาการจ้างงานและกลับเข้าทำงานตามปกตินั้น โดยพนักงานประมาณ 30 คนจากจำนวนดังกล่าวยังไม่ได้รับมอบหมายให้เริ่มปฏิบัติงานเนื่องจากบริษัทฯ
มีพนักงานที่มีประสบการณ์การทำงานในจำนวนที่เพียงพอในการผลิตตามอัตราการผลิตในปัจจุบัน ทั้งนี้ พนักงานจำนวนดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ซึ่งเราไม่ต้องการให้เกิดความเสี่ยงดังกล่าวขึ้น ทั้งนี้ เมื่อเอเอทีดำเนินการผลิตอย่างเต็มกำลังอีกครั้งหนึ่งเราจะเรียกพนักงานเหล่านี้กลับมาทำงานซึ่งเป็นไปตามกฎหมายแรงงานของประเทศไทย
สำหรับพนักงานที่เหลือยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาร่วมกัน โดยเอเอทีได้ประกาศต่อสาธารณะแล้วว่า กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการเจรจาอย่างเป็นทางการร่วมกับผู้นำสหภาพแรงงาน โดยผ่านกระบวนการของทางราชการ และจะดำเนินการเจรจารอบที่ 21 ต่อไป วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ โดยการเจรจาจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยองและประจำภาคกลาง
นายสาโรชน์ เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดเผยว่า กรณีที่มีรายงานข่าวว่าฟอร์ดอาจจะย้ายการลงทุนในไทย หากรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหากรณีมาบตะพุดได้ เรื่องนี้ฟอร์ดยืนยันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นโยบายเกี่ยวกับการลงทุนยังคงเช่นเดิม
“แน่นอนว่ากรณีมาบตาพุดส่งผลต่อระยะเวลาของแผนงาน แต่สิ่งที่ฟอร์ดอยากทราบจากรัฐบาลไทย คือความชัดเจนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ในการแก้ปัญหา และจะให้เราอย่างไร เพื่อที่จะได้กำหนดแผนงานได้ถูกต้อง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะฟอร์ดเท่านั้น แต่เอกชนผู้ลงทุนทุกรายล้วนอยากทราบความชัดเจนตรงนี้”
ส่วนกรณีที่พนักงานสหภาพแรงงานโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ หรือเอเอที ได้มีการหยุดงานไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา จนต้องปิดโรงงานและไม่สามารถผลิตสินค้าได้ ส่งผลให้ไม่สามารถส่งมอบรถกับลูกค้าได้ทัน ทำให้ยอดขายฟอร์ดในช่วงเดือนมกราคมหายจำนวนหนึ่ง แต่ขณะนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย พนักงานส่วนใหญ่ได้กลับมาทำงานเช่นเดิม และสามารถเปิดไลน์ผลิตเช่นเดิม
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เปิดเผยว่า ฟอร์ดมีแผนการจะลงทุนเพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่สำหรับผลิตรถยนต์นั่ง ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนเกือบ 2 หมื่นล้านบาท โดยตามแผนจะแถลงข่าวการลงทุนในช่วงเดือนตุลาคม 2552 ที่ผ่านมา แต่เมื่อเกิดปัญหาข้อกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้แผนงานทุกอย่างต้องเลื่อนออกไปและหากยังไม่มีข้อสรุปย่อมส่งผลกระทบต่อการลงทุนแน่นอน
ทั้งนี้มีแถลงการจากฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนีถึงการลงทุนในไทยว่า ในการประเมินความเป็นไปได้ของโอกาสการลงทุน เพื่อขยายการดำเนินธุรกิจของเราในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ฟอร์ดได้มีโอกาสหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับรัฐบาลไทยหลายครั้ง ถึงความเป็นไปได้ในการลงทุนครั้งใหม่ของบริษัท ฯ ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ฟอร์ดมีนโยบายที่ชัดเจนทั้งในด้านการปฏิบัติงาน ผลิตภัณฑ์ และบริการทั้งหมดนั้น จะต้องดำเนินการหรือใช้งาน โดยรับผิดชอบในการปกป้องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และไม่ว่าบริษัทฯ จะดำเนินธุรกิจในประเทศใดก็ตาม ฟอร์ดได้ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ อย่างเคร่งครัด ซึ่งตรงตามหรือเกินกว่าข้อกำหนดและกฎระเบียบของประเทศต่างๆซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ฟอร์ดใช้ในการดำเนินธุรกิจทั่วโลก
นาย คิโยทากะ โซบุดะ ประธานบริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (เอเอที) ได้ออกแถลงการณ์ว่า คณะผู้บริหารทราบว่าสมาชิกสหภาพแรงงานฟอร์ด และมาสด้า ประเทศไทย ได้ไปรวมตัวกันที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวานนี้ เป็นการให้ข้อมูลที่บิดเบือนจากความเป็นจริง โดยเอเอทีได้ปิดโรงงานเนื่องจากเกิดการกระทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของโรงานผลิตในจังหวัดระยองซึ่งบริษัทเชื่อว่าเกิดจากการเจรจากับทางสหภาพแรงงานฟอร์ดและมาสด้า และเป็นการกระทำของจากพนักงานเพียงบางกลุ่มเท่านั้น
จากนั้นเอเอทีได้มีการเจรจากับทางสหภาพแรงงานอย่างต่อเนื่อง จนบรรลุข้อตกลงที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจากจำนวนพนักงานเอเอที 3,550 คนที่ได้เซ็นสัญญาการจ้างงานและกลับเข้าทำงานตามปกตินั้น โดยพนักงานประมาณ 30 คนจากจำนวนดังกล่าวยังไม่ได้รับมอบหมายให้เริ่มปฏิบัติงานเนื่องจากบริษัทฯ
มีพนักงานที่มีประสบการณ์การทำงานในจำนวนที่เพียงพอในการผลิตตามอัตราการผลิตในปัจจุบัน ทั้งนี้ พนักงานจำนวนดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ซึ่งเราไม่ต้องการให้เกิดความเสี่ยงดังกล่าวขึ้น ทั้งนี้ เมื่อเอเอทีดำเนินการผลิตอย่างเต็มกำลังอีกครั้งหนึ่งเราจะเรียกพนักงานเหล่านี้กลับมาทำงานซึ่งเป็นไปตามกฎหมายแรงงานของประเทศไทย
สำหรับพนักงานที่เหลือยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาร่วมกัน โดยเอเอทีได้ประกาศต่อสาธารณะแล้วว่า กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการเจรจาอย่างเป็นทางการร่วมกับผู้นำสหภาพแรงงาน โดยผ่านกระบวนการของทางราชการ และจะดำเนินการเจรจารอบที่ 21 ต่อไป วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ โดยการเจรจาจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยองและประจำภาคกลาง
