รมว.คลัง เผยการประชุม ครม.เศรษฐกิจ วันนี้ ถกแผนลงทุนระยะยาว คาดในปี 54 ความจำเป็นในการกู้เงินนอกงบประมาณ มีทิศทางที่ลดลง โดยในปี 53 เงินกู้ชดเชยขาดดุลลดลง 2% เนื่อจากการจัดเก็บรายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามธุรกิจที่ขยายตัว ซึ่งไม่ใช่การปรับขึ้นภาษี
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันนี้ โดยระบุว่า ที่ประชุมมีการหารือถึงภาวะเศรษฐกิจในปี 2553 ที่เริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่ประชุมยังได้เห็นชอบในการจัดทำยุทธศาสตร์การลงทุนระยะยาวในประเทศ เน้นการใช้งบประมาณผ่านยุทธศาสตร์ที่วางไว้ให้ทุกหน่วยงานจัดสรรของบประมาณโดยตรง เพื่อให้เป็นแบบแผนเดียวกัน และในขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณางบประมาณในปี 2554 ด้วย ซึ่งคาดว่าจะมีการกู้เงินนอกงบประมาณน้อยลง ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ลดแรงกดดันลง
ขณะที่ทิศทางของการจัดรายได้ในปี 2553 ที่ตั้งเป้าหมายไว้ 1.35 ล้านล้านบาท แต่ขณะนี้จัดเก็บได้ 1.52 ล้านล้านบาท ซึ่งเกินจากเป้าที่ตั้งไว้ทำให้ความจำเป็นในการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณน้อยลงกว่า 1 แสนล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 2 ของจีดีพี ส่งผลให้แนวโน้มงบการขาดดุลปี 2554 น้อยลงตามไปด้วย
"ที่ประชุมได้ประเมินตรงกันว่า เศรษฐกิจปี 53 จะดีขึ้น ทิศทางการจัดเก็บรายได้ดีกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยจัดเก็บรายได้ ได้ประมาณ 1.52 ล้านล้านบาท จากเป้าซึ่งอยู่ที่ 1.35 ล้านล้านบาท ซึ่งทำให้ลดการกู้เงินชดเชยขาดดุลงบประมาณได้ประมาณ 1 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 2 ของจีดีพี ส่งผลให้แนวโน้มงบประมาณปี 54 การกู้เงินจะลดลง"
สำหรับรายได้ของรัฐบาลในการการจัดเก็บภาษี รมว.คลัง คาดว่า ในปีนี้ รายได้จากภาษีจะเพิ่มขึ้นจากการทำธุรกรรมของธุรกิจและกำไรของนักธุรกิจ ไม่ได้เกิดขึ้นจากรายได้ของการปรับขึ้นภาษี รวมถึงนโยบายทางการเงินที่ยังไม่มีความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนนโยบายในระยะนี้ แต่เน้นดูแลอัตราการแลกเปลี่ยน และยังคงจับตาอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ