“อินเด็กซ์” ดึง “โคโคโร่” เจ้าตลาดหุ่นยนต์ระดับ 1 ใน 3 ของโลก เดินหน้าลุย ตลาดพิพิธภัณธ์มีชีวิต หวังกระจายความเสี่ยง สานต่อกลยุทธ์เครือข่ายใยแมงมุม เชื่อปีนี้ตลาดอีเวนต์ติดลบ ขอสวนกระแสคว้ารายได้โตอีก 20 % แตะ 1,800 ล้านบาท หลังปีก่อนทำได้ตามเป้าที่ 1,505 ล้านบาท เติบโต 11%
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ อีเว้นท์ เอเจนซี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2552 ที่ผ่านมา ที่ทางบริษัทได้มีการปรับตัวและวางแผนการดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์แบบเครือข่ายใยแมงมุม หรือ “Spider Web” ในสถานการณ์ที่สภาพเศรษฐกิจและการเมืองยังไม่นิ่งได้ส่งผลให้บริษัทสามารถทำรายได้เติบโตตามเป้าที่วางไว้ที่ประมาณ 11% คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1,505 ล้านบาท ส่วนในปีนี้ คาดว่าจะสามารถทำรายได้เติบโตได้อีก 20% คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,800 ล้านบาท
โดยการเติบโตดังกล่าวมีทั้งมาจากบิสซิเนสยูนิตใหม่อย่าง เพอร์เซอนัล แบรนด์ดิ้ง ที่มีรายได้เข้ามา 59.50 ล้านบาท, ออนไลน์ เอเจนซี่ มีรายได้ที่ 7.65 ล้านบาท และอินเตอร์แรคทีฟ มีเดีย อีก 0.09 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักยังมาจากกลุ่มธุรกิจอีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง โดยปีนี้ทำรายได้มาเป็น 908.43 ล้านบาท เติบโตขึ้น 16% จากปีก่อนที่ทำได้ 780.03 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามในแง่ของภาพรวมตลาดอีเวนต์ปีที่ผ่านมาเชื่อว่าจะติดลบ ส่วนในปีนี้กลับมองว่าหากไม่รวมเอาปัจจัยลบเข้ามา โดยเฉพาะเรื่องของการเมือง ไม่ว่าจะเป็น กรณีของการแก้รัฐธรรมนูญ, การยุบสภา, และคดียึดทรัพย์แล้ว เชื่อว่าตลาดอีเวนต์น่าจะกลับมาเติบโตขึ้นราว 5% โดยมีปัจจัยบวกจากสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น
เจ้าของสินค้าเริ่มมั่นใจและกลับมาใช้งบจัดงานอีเวนต์สูงขึ้น ซึ่งแนวโน้มทิศทางของธุรกิจอีเวนต์ในปีนี้ คาดว่าจะเริ่มออกไปยังตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ๆ ส่วนหนึ่งเนื่องจากความต้องการการจัดงานอีเวนต์ในกรุงเทพฯเริ่มอิ่มตัวแล้ว ขณะเดียวกันขนาดของการจัดอีเวนต์จะมีขนาดระดับกลางถึงเล็กเป็นหลัก
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านอีเวนต์ โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กจะมีรายได้ดีกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ที่ต้องมีเรื่องต้นทุนและความรับผิดชอบต่างๆที่สูงกว่า ซึ่งในส่วนของอินเด็กซ์เองก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และวิธีการทำงาน รวมถึงแสวงหาธุรกิจใหม่ๆเข้ามาเสริมและกระจายความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นแผนการดำเนินงานของอินเด็กซ์ในปี 2553 นี้ จะยังคงเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ สไปเดอร์ เวบ พร้อมทั้งได้มีการพัฒนาและสานต่อโครงการธุรกิจใหม่ให้เกิดขึ้นอีก 10 โครงการในปีนี้ ล่าสุด ได้ร่วมกับทาง บริษัท โคโคโร่ จำกัด ในเครือ ซานริโอ้ (ประเทศญี่ปุ่น)ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการผลิตหุ่นยนต์ ในการเข้ามารุกตลาดด้านการทำพิพิธภัณฑ์มีชีวิตในประเทศไทย ตลอดจนการจัดอีเวนต์เพื่อการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เบื้องต้น ในปีนี้ จะเริ่มเห็นรายได้จากการขายหุ่นยนต์เป็นหลัก คิดเป็นรายได้ที่ 30-40 ล้านบาท ส่วนในปีหน้าเชื่อว่ารายได้จากธุรกิจนี้จะเพิ่มเป็น 100 ล้านบาทได้แน่
“การเข้ามารุกในตลาดพิพิธภัณฑ์ครั้งนี้ เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่ทั้งภาครัฐและเอกชนกำลังให้ความสนใจและต้องการให้พิพิธภัณฑ์มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันตัวเลขพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยทั้งหมด ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น มีไม่ต่ำกว่า 1,000 แห่ง ถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก” นายเกรียงไกรกล่าว
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ อีเว้นท์ เอเจนซี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2552 ที่ผ่านมา ที่ทางบริษัทได้มีการปรับตัวและวางแผนการดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์แบบเครือข่ายใยแมงมุม หรือ “Spider Web” ในสถานการณ์ที่สภาพเศรษฐกิจและการเมืองยังไม่นิ่งได้ส่งผลให้บริษัทสามารถทำรายได้เติบโตตามเป้าที่วางไว้ที่ประมาณ 11% คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1,505 ล้านบาท ส่วนในปีนี้ คาดว่าจะสามารถทำรายได้เติบโตได้อีก 20% คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,800 ล้านบาท
โดยการเติบโตดังกล่าวมีทั้งมาจากบิสซิเนสยูนิตใหม่อย่าง เพอร์เซอนัล แบรนด์ดิ้ง ที่มีรายได้เข้ามา 59.50 ล้านบาท, ออนไลน์ เอเจนซี่ มีรายได้ที่ 7.65 ล้านบาท และอินเตอร์แรคทีฟ มีเดีย อีก 0.09 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักยังมาจากกลุ่มธุรกิจอีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง โดยปีนี้ทำรายได้มาเป็น 908.43 ล้านบาท เติบโตขึ้น 16% จากปีก่อนที่ทำได้ 780.03 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามในแง่ของภาพรวมตลาดอีเวนต์ปีที่ผ่านมาเชื่อว่าจะติดลบ ส่วนในปีนี้กลับมองว่าหากไม่รวมเอาปัจจัยลบเข้ามา โดยเฉพาะเรื่องของการเมือง ไม่ว่าจะเป็น กรณีของการแก้รัฐธรรมนูญ, การยุบสภา, และคดียึดทรัพย์แล้ว เชื่อว่าตลาดอีเวนต์น่าจะกลับมาเติบโตขึ้นราว 5% โดยมีปัจจัยบวกจากสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น
เจ้าของสินค้าเริ่มมั่นใจและกลับมาใช้งบจัดงานอีเวนต์สูงขึ้น ซึ่งแนวโน้มทิศทางของธุรกิจอีเวนต์ในปีนี้ คาดว่าจะเริ่มออกไปยังตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ๆ ส่วนหนึ่งเนื่องจากความต้องการการจัดงานอีเวนต์ในกรุงเทพฯเริ่มอิ่มตัวแล้ว ขณะเดียวกันขนาดของการจัดอีเวนต์จะมีขนาดระดับกลางถึงเล็กเป็นหลัก
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านอีเวนต์ โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กจะมีรายได้ดีกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ที่ต้องมีเรื่องต้นทุนและความรับผิดชอบต่างๆที่สูงกว่า ซึ่งในส่วนของอินเด็กซ์เองก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และวิธีการทำงาน รวมถึงแสวงหาธุรกิจใหม่ๆเข้ามาเสริมและกระจายความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นแผนการดำเนินงานของอินเด็กซ์ในปี 2553 นี้ จะยังคงเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ สไปเดอร์ เวบ พร้อมทั้งได้มีการพัฒนาและสานต่อโครงการธุรกิจใหม่ให้เกิดขึ้นอีก 10 โครงการในปีนี้ ล่าสุด ได้ร่วมกับทาง บริษัท โคโคโร่ จำกัด ในเครือ ซานริโอ้ (ประเทศญี่ปุ่น)ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการผลิตหุ่นยนต์ ในการเข้ามารุกตลาดด้านการทำพิพิธภัณฑ์มีชีวิตในประเทศไทย ตลอดจนการจัดอีเวนต์เพื่อการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เบื้องต้น ในปีนี้ จะเริ่มเห็นรายได้จากการขายหุ่นยนต์เป็นหลัก คิดเป็นรายได้ที่ 30-40 ล้านบาท ส่วนในปีหน้าเชื่อว่ารายได้จากธุรกิจนี้จะเพิ่มเป็น 100 ล้านบาทได้แน่
“การเข้ามารุกในตลาดพิพิธภัณฑ์ครั้งนี้ เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่ทั้งภาครัฐและเอกชนกำลังให้ความสนใจและต้องการให้พิพิธภัณฑ์มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันตัวเลขพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยทั้งหมด ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น มีไม่ต่ำกว่า 1,000 แห่ง ถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก” นายเกรียงไกรกล่าว