ซีพีเอ็นเตรียมรับสภาพรายได้รวมปีนี้คาดว่าเติบโตหลักเดียว เหตุไม่มีสาขาเปิดใหม่ ซ้ำร้ายปิดรีโนเวทสาขารายได้หลัก 3 แห่ง ลาดพร้าว ปิ่นเกล้า บางนา โดยเฉพาะลาดพร้าวสรุปและปิดหมดยาว 6 เดือน งบปรับใหญ่ 2,400 ล้านบาท
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าในปี 2553 นี้รายได้รวมคงเติบโตเพียงแค่หลักเดียวเท่านั้น จากปีที่แล้วที่คาดว่ามีรายได้รวมเติบโตประมาณ 20-25% เพราะมีการเปิดสาขาใหม่ถึง 3 แห่ง คือที่ พัทยา ชลบุรีและขอนแก่น
ขณะที่ในปีนี้คงจะไม่มีการเปิดสาขาใหม่ รวมทั้งยังมีแผนที่จะทำการรีโนเวทสาขาเก่าอย่างน้อยถึง 3 สาขาคือ ที่ลาดพร้าว บางนา ปิ่นเกล้า จึงทำให้ไม่สามารถที่จะเปิดบริการลูกค้าและเก็บค่าเช่าได้เต็มที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สาขาลาดพร้าวนั้น ใช้งบรวม 2,400 ล้านบาท จะปิดนานทั้งศูนย์รวดเดียวนานถึง 6 เดือน คาดว่าจะเริ่มปิดปรับปรุงเดือนเมษายนนี้ และเปิดบริการช่วงเดือนตุลาคม ทำให้สูญรายได้ค่าเช่า เมื่อเปิดบริการคาดว่าจะมีการปรับค่าเช่าเพิ่มขึ้น 20% โดยมีพื้นที่ประมาณ 180,000 ตารางเมตร อีกทั้งยังเป็นสาขาที่ทำรายได้สูงเป็นอันดับสองในเครือซีพีเอ็นรองจาก เซ็นทรัลเวิลด์ อันดับสามคือปิ่นเกล้าและบางนา ซึ่งล้วนแต่เป็นสาขาที่ทำรายได้สูงทั้งสิ้น ที่รีโนเวทปีนี้ สำหรับการปรับปรุงสาขาลาดพร้าวนั้น คอนเซ็ปท์เป็นพลาซ่าเหมือนดิม แต่จะมีลักษณะเป็นกรีนเอนไวรอนเม้นท์
ดร.ณัฐกิตติ์กล่าวต่อว่า ในปีนี้จะใช้งบการตลาดรวมประมาณ 700 กว่าล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ซึ่งไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากว่าปีนี้จะใช้กลยุทธ์การร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจในเครือเซ็นทรัลร่วมกันจัดอีเวนต์มากขึ้น เช่น เซ็นทรัล โรบินสัน ซูเปอร์สปอร์ต เพาเวอร์บาย บีทูเอส เป็นต้น ซึ่งทำให้ประหยัดงบได้มากขึ้น อีกทั้งงบท่ได้นั้นจะใช้ในแต่ละครั้งน้อยกว่าปีที่แล้ว เพื่อที่จะได้ขยายจำนวนอีเวนต์ให้มากขึ้น คาดว่าปีนี้ทั้งปีจะมี 1,000 อีเวนต์ ซึ่งรวมทั้งที่จัดเองกับที่ผู้เช่าพื้นที่มาจัดด้วย ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วประมาณ 15%
อย่างไรก็ตามปีที่แล้วมีลูกค้าเดินเข้าศูนย์ฯทุกสาขาของซีพีเอ็นรวม 2 ล้านคนต่อวันในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงจับจ่ายและกำลังซื้อเริ่มกระเตื้องขึ้น แต่เฉลี่ยแล้วทั้งปีจำนวนคนเดินเข้าศูนย์ประมาณ 1.2 ล้านคนต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนหน้า โดยรูปแบบของเซ็นทรัลเวิลด์ ลูกค้ามีการใช้จ่ายเฉลี่ย 5,000 บาทต่อคนต่อครั้ง ส่วนรูปแบบเฟสติวัลใช้จ่ายเฉลี่ย 3,000 บาทต่อคนต่อครั้ง และรูปแบบพลาซ่า ใช้จ่ายเฉลี่ย 1,800 บาทต่อคนต่อครั้ง
สำหรับอีเวนต์ใหญ่ล่าสุดคือ วันตรุษจีนและวันวาเลนไทน์ ซึ่งปีนี้ตรงกันพอดีในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ ซีพีเอ็นได้ใช้งบการตลาดรวมกว่า 100 ล้านบาทในการจัดอีเวนต์ใหญ่และย่อยรวมกันทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคมนี้
“ช่วงเทศกาลตรุษจีนถือเป็นเทศกาลจับจ่ายครั้งใหญ่ประจำปีของผู้บริโภคซึ่งเรมองว่าการจับจ่ายของผู้บริโภคและภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับมีเทศกาลต่างๆอย่างวันวาเลนไทน์ ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ในปีนี้เราดึงอีเวนต์มาเป็นตัวไดรฟ์หลักในแคมเปญต่างๆ เตรียมการจัดงานสร้างสีสันช่วงเทศกาลกว่า 100 อีเวนต์ มีไฮไลท์มากมาย คาดว่าช่วงเทศกาลนี้จะเพิ่มจำนวนลูกค้าได้ 15-20% และกระตุ้นยอดรายได้ของร้านค้าในศูนย์ฯได้ 20%” ดร.ณัฐกิตติ์กล่าว
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าในปี 2553 นี้รายได้รวมคงเติบโตเพียงแค่หลักเดียวเท่านั้น จากปีที่แล้วที่คาดว่ามีรายได้รวมเติบโตประมาณ 20-25% เพราะมีการเปิดสาขาใหม่ถึง 3 แห่ง คือที่ พัทยา ชลบุรีและขอนแก่น
ขณะที่ในปีนี้คงจะไม่มีการเปิดสาขาใหม่ รวมทั้งยังมีแผนที่จะทำการรีโนเวทสาขาเก่าอย่างน้อยถึง 3 สาขาคือ ที่ลาดพร้าว บางนา ปิ่นเกล้า จึงทำให้ไม่สามารถที่จะเปิดบริการลูกค้าและเก็บค่าเช่าได้เต็มที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สาขาลาดพร้าวนั้น ใช้งบรวม 2,400 ล้านบาท จะปิดนานทั้งศูนย์รวดเดียวนานถึง 6 เดือน คาดว่าจะเริ่มปิดปรับปรุงเดือนเมษายนนี้ และเปิดบริการช่วงเดือนตุลาคม ทำให้สูญรายได้ค่าเช่า เมื่อเปิดบริการคาดว่าจะมีการปรับค่าเช่าเพิ่มขึ้น 20% โดยมีพื้นที่ประมาณ 180,000 ตารางเมตร อีกทั้งยังเป็นสาขาที่ทำรายได้สูงเป็นอันดับสองในเครือซีพีเอ็นรองจาก เซ็นทรัลเวิลด์ อันดับสามคือปิ่นเกล้าและบางนา ซึ่งล้วนแต่เป็นสาขาที่ทำรายได้สูงทั้งสิ้น ที่รีโนเวทปีนี้ สำหรับการปรับปรุงสาขาลาดพร้าวนั้น คอนเซ็ปท์เป็นพลาซ่าเหมือนดิม แต่จะมีลักษณะเป็นกรีนเอนไวรอนเม้นท์
ดร.ณัฐกิตติ์กล่าวต่อว่า ในปีนี้จะใช้งบการตลาดรวมประมาณ 700 กว่าล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ซึ่งไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากว่าปีนี้จะใช้กลยุทธ์การร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจในเครือเซ็นทรัลร่วมกันจัดอีเวนต์มากขึ้น เช่น เซ็นทรัล โรบินสัน ซูเปอร์สปอร์ต เพาเวอร์บาย บีทูเอส เป็นต้น ซึ่งทำให้ประหยัดงบได้มากขึ้น อีกทั้งงบท่ได้นั้นจะใช้ในแต่ละครั้งน้อยกว่าปีที่แล้ว เพื่อที่จะได้ขยายจำนวนอีเวนต์ให้มากขึ้น คาดว่าปีนี้ทั้งปีจะมี 1,000 อีเวนต์ ซึ่งรวมทั้งที่จัดเองกับที่ผู้เช่าพื้นที่มาจัดด้วย ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วประมาณ 15%
อย่างไรก็ตามปีที่แล้วมีลูกค้าเดินเข้าศูนย์ฯทุกสาขาของซีพีเอ็นรวม 2 ล้านคนต่อวันในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงจับจ่ายและกำลังซื้อเริ่มกระเตื้องขึ้น แต่เฉลี่ยแล้วทั้งปีจำนวนคนเดินเข้าศูนย์ประมาณ 1.2 ล้านคนต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนหน้า โดยรูปแบบของเซ็นทรัลเวิลด์ ลูกค้ามีการใช้จ่ายเฉลี่ย 5,000 บาทต่อคนต่อครั้ง ส่วนรูปแบบเฟสติวัลใช้จ่ายเฉลี่ย 3,000 บาทต่อคนต่อครั้ง และรูปแบบพลาซ่า ใช้จ่ายเฉลี่ย 1,800 บาทต่อคนต่อครั้ง
สำหรับอีเวนต์ใหญ่ล่าสุดคือ วันตรุษจีนและวันวาเลนไทน์ ซึ่งปีนี้ตรงกันพอดีในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ ซีพีเอ็นได้ใช้งบการตลาดรวมกว่า 100 ล้านบาทในการจัดอีเวนต์ใหญ่และย่อยรวมกันทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคมนี้
“ช่วงเทศกาลตรุษจีนถือเป็นเทศกาลจับจ่ายครั้งใหญ่ประจำปีของผู้บริโภคซึ่งเรมองว่าการจับจ่ายของผู้บริโภคและภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับมีเทศกาลต่างๆอย่างวันวาเลนไทน์ ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ในปีนี้เราดึงอีเวนต์มาเป็นตัวไดรฟ์หลักในแคมเปญต่างๆ เตรียมการจัดงานสร้างสีสันช่วงเทศกาลกว่า 100 อีเวนต์ มีไฮไลท์มากมาย คาดว่าช่วงเทศกาลนี้จะเพิ่มจำนวนลูกค้าได้ 15-20% และกระตุ้นยอดรายได้ของร้านค้าในศูนย์ฯได้ 20%” ดร.ณัฐกิตติ์กล่าว
