ผลพวงการระงับโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 ผสมโรงแยกก๊าซฯ หน่วย2-3 ซ่อมบำรุง ส่งผลให้เดือนมี.ค.นี้ ไทยต้องนำเข้าแอลพีจี 1.5 แสนตัน เป็นการนำเข้าสูงสุดในประวัติศาสตร์
นายพีระพล สาครินทร์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า จากกรณีคำสั่งระงับกิจการโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 ของเครือปตท.ส่งผลให้การผลิตแอลพีจี (ก๊าซหุงต้ม) ไม่สามารถป้อนเพิ่มได้ตามแผนที่วางไว้ในช่วงต้นปีนี้ที่มีกำลังผลิต 1 แสนตันต่อเดือน ประกอบกับช่วงก.พ.โรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 2 และ 3 ของปตท.มีแผนปิดซ่อมบำรุงชั่วคราว ดังนั้น เดือนมี.ค.จึงส่งผลให้การนำเข้าแอลพีจีจะสูงถึง 1.5 แสนตัน ถือเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่เดือนพ.ค.คาดว่าจะปรับลดลงมาอยู่เฉลี่ยที่ 1.32 แสนตัน
ทั้งนี้ กรมฯ มีแผนที่จะนำเข้าก๊าซหุงต้มในเดือนม.ค.จำนวน 1.1 แสนตัน ซึ่งขณะนี้มีการทยอยนำเข้ามาแล้ว 2 เที่ยว เที่ยวแรก 2.2 หมื่นตันและเที่ยวที่ 2 อีก 4.4 หมื่นตัน ส่วนเดือนก.พ.มีแผนที่จะนำเข้าก๊าซหุงต้ม 1.3 แสนตัน เนื่องจากโรงแยกก๊าซฯหน่วยที่2และ3 หยุดซ่อมบำรุงชั่วคราวในช่วงวันที่ 10-20 ก.พ.ทำให้กำลังการผลิตหายไปรวม 7.5 หมื่นตัน ประกอบกับมีการแจ้งเตือนจากทางพม่าว่าจะมีการปิดซ่อมบำรุงชั่วคราวท่อส่งก๊าซเยตากุนและยานาดาด้วย จึงคาดว่าเดือนมี.ค.ต้องมีการนำเข้าก๊าซหุงต้มสูงถึง 1.5 แสนตัน
นายพีระพลกล่าวว่า ปริมาณการใช้น้ำมันในปี 2553นี้ คาดว่าจะสอดคล้องกับตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่มีการคาดการณ์ว่าจะโตประมาณ 3.5-4% ซึ่งก็น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2552 โดยปริมาณการใช้จะไปโตที่พลังงานทดแทนเป็นหลัก ส่วนสัดส่วนการใช้น้ำมันหลักอย่างเบนซินและดีเซลก็จะค่อยๆ ปรับลดลง ส่วนมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบก็คาดว่าน่าจะกลับไปอยู่ในระดับเดียวกับช่วงปี 2551 เนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวสูงขึ้นหลังจากช่วงต้นปีราคาน้ำมันลงไปอยู่ในระดับต่ำ
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.2553 จะมีการปรับเปลี่ยนสีของน้ำมันสำเร็จรูปใหม่ โดยน้ำมันเบนซิน 91 จากสีแดงจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน น้ำมันเบนซิน 95 จากสีเหลืองอ่อนเป็นสีน้ำเงิน ส่วนน้ำมันไบโอดีเซล B5 เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นแดง เพื่อป้องกันการปลอมปนน้ำมันและการเอาเปรียบผู้บริโภค