"ชุมพล" ชงของบปี 54 รวม 2.8 หมื่นล้าน กระตุ้นท่องเที่ยวและกีฬา กำชับ ททท. เน้นโครงการการดำเนินงานด้านระบบไอที และการสร้างฐานข้อมูลนักท่องเที่ยว รับกระแสโลกไซเบอร์ พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยนหันมาสืบค้นข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ด้านกิจกรรมเน้นการตลาดแบบฮาร์ดเซลล์ เจาะ รายตลาด พร้อมอัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดปี ส่วน"อีลิทการ์ด" ล่าสุดทุนสิงคโปร์แอบจีบขอดูทีโออาร์
วานนี้ (18ม.ค.53) การประชุมเตรียมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ร่วมกับข้าราชการ เพื่อนำเสนอนโยบายและตัวเลขงบประมาณแก่สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ภายในวันที่ 1 ก.พ.2553 นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานการประชุม เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติสรุปตัวเลขงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ที่จะนำเสนอขอต่อสำนักงบประมาณ รวมตัวเลขอยู่ที่ 2.84 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของงานด้านท่องเที่ยว ส่วนของสำนักปลัด 5.01 พันล้านบาท , การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 7.14 พันล้านบาท ,สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว(สพท.) 1.26 พันล้านบาท ขณะที่ในส่วนของงานด้านกีฬา และนันทนาการ สรุปขอที่ตัวเลข 3.39 พันล้านบาท ,สถาบันกลางพลศึกษา 2.71 พันล้านบาท การกีฬาแห่งประเทศไทย 8.94 พันล้านบาท
ทั้งนี้ในรายละเอียดของการใช้งบประมาณให้แต่ละหน่วยงานไปดำเนินการจัดทำให้แล้วเสร็จและกลับมาประชุมเตรียมความพร้อมอีกครั้งภายใน 28 ม.ค.53 จากนั้นจะนำเสนอต่อไปยังสำนักงบประมาณภายในวันที่ 1 ก.พ.53 โดยตัวเลขงบประมาณปี 2554 ที่จะเสนอขอนี้ ใกล้เคียงกับที่เสนอขอในปี 2553 แต่อยู่ที่ว่าสำนักงบประมาณจะอนุมัติให้เท่าใด โดยในปี 2553 กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้รับอนุมัติ 1.163 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นสำนักงานปลัดกระทรวงฯ 6.08 ร้อยล้านบาท สำนักพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ 8.32 ร้อยล้านบาท สพท. 7.41 ร้อยล้านบาท สถาบันการพลศึกษา 1.93 พันล้านบาท การกีฬาแห่งประเทศไทย 2.5 พันล้านบาท และ ททท. 4.54 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การจัดทำงบประมาณปี 2554 ในส่วนของ ททท. ได้กำชับไปว่า ให้เน้นโครงการจัดทำฐานข้อมูลและระบบไอที เพื่อตอบรับต่อพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว รวมถึงการตั้ง สถาบันฝึกอบรมบุคคลากรด้านท่องเที่ยว เพื่อฝึกให้แก่บุคคลากรของ ททท. และ บุคคลภายนอก ซึ่งสถานที่มีอยู่แล้วที่ บางแสน จ.ชลบุรี ส่วนเรื่องการตลาด เน้นทำงานเชิงรุก แบบฮาร์ดเซลล์ และซอฟท์เซลล์ ตามความเหมาะสมในแต่ละตลาด ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบต่างๆ ทั้งช่วงเทศกาลและนอกเทศกาล การจัดงานส่งเสริมการขายสินค้าทางการท่องเที่ยว เช่น งานไทยแลนด์แกรนด์เซลล์ งานมหกรรมท่องเที่ยว 4 ภาค เป็นต้น ส่วนงานด้านกีฬา วางแผนงานสร้างสนามกีฬาทุกตำบลในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมประชาชนและเยาวชนให้หันมาให้ความสำคัญกับการเล่นกีฬา
***ทุนสิงคโปร์สนอีลิทขอดูทีโออาร์****
ท้ายสุดนายชุมพลได้กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการบัตรไทยแลนด์อีลิท การ์ด ว่า อยู่ระหว่างรอให้สำนักนายกรัฐมนตรี เสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) แก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง โดยให้ตัดกรรมการที่เป็นตัวแทนจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ออกไป ตามที่หน่วยงานดังกล่าวร้องขอ โดยคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างจะเหลือไว้เพียง ตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ จากนั้นกระบวนการทำงานคือ นำเงื่อนไขการประมูล(ทีโออาร์)ที่ผ่านครม.แล้วมาพิจารณา เพื่อดำเนินการออกประกาศให้แก่เอกชนที่สนใจเข้ามายื่นซองประกวดราคาตามลำดับ
แหล่งข่าวจากวงการท่องเที่ยวเผยว่า ล่าสุดมีกลุ่มทุนจากประเทศสิงคโปร์ ได้ติดต่อผ่านอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ขอรายละเอียดทีโออาร์ เพื่อไปใช้ประกอบการตัดสินเข้าซื้อกิจการอีลิทการ์ด แต่ทั้งนี้หากเป็นต่างชาติที่จะเข้าซื้อกิจการก็ต้องทำตามข้อบังคับการร่วมทุนคือ ต้องจดทะบียนบริษัทในประเทศไทยโดยมีสัดส่วนคนไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 รวมถึงต้องมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการพิจาณารับสมาชิกใหม่ด้วย เพราะการได้สิทธิ์ถือวีซ่านานถึง 5 ปี ของผู้เป็นสมาชิกอีลิทการ์ด ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ
วานนี้ (18ม.ค.53) การประชุมเตรียมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ร่วมกับข้าราชการ เพื่อนำเสนอนโยบายและตัวเลขงบประมาณแก่สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ภายในวันที่ 1 ก.พ.2553 นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานการประชุม เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติสรุปตัวเลขงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ที่จะนำเสนอขอต่อสำนักงบประมาณ รวมตัวเลขอยู่ที่ 2.84 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของงานด้านท่องเที่ยว ส่วนของสำนักปลัด 5.01 พันล้านบาท , การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 7.14 พันล้านบาท ,สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว(สพท.) 1.26 พันล้านบาท ขณะที่ในส่วนของงานด้านกีฬา และนันทนาการ สรุปขอที่ตัวเลข 3.39 พันล้านบาท ,สถาบันกลางพลศึกษา 2.71 พันล้านบาท การกีฬาแห่งประเทศไทย 8.94 พันล้านบาท
ทั้งนี้ในรายละเอียดของการใช้งบประมาณให้แต่ละหน่วยงานไปดำเนินการจัดทำให้แล้วเสร็จและกลับมาประชุมเตรียมความพร้อมอีกครั้งภายใน 28 ม.ค.53 จากนั้นจะนำเสนอต่อไปยังสำนักงบประมาณภายในวันที่ 1 ก.พ.53 โดยตัวเลขงบประมาณปี 2554 ที่จะเสนอขอนี้ ใกล้เคียงกับที่เสนอขอในปี 2553 แต่อยู่ที่ว่าสำนักงบประมาณจะอนุมัติให้เท่าใด โดยในปี 2553 กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้รับอนุมัติ 1.163 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นสำนักงานปลัดกระทรวงฯ 6.08 ร้อยล้านบาท สำนักพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ 8.32 ร้อยล้านบาท สพท. 7.41 ร้อยล้านบาท สถาบันการพลศึกษา 1.93 พันล้านบาท การกีฬาแห่งประเทศไทย 2.5 พันล้านบาท และ ททท. 4.54 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การจัดทำงบประมาณปี 2554 ในส่วนของ ททท. ได้กำชับไปว่า ให้เน้นโครงการจัดทำฐานข้อมูลและระบบไอที เพื่อตอบรับต่อพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว รวมถึงการตั้ง สถาบันฝึกอบรมบุคคลากรด้านท่องเที่ยว เพื่อฝึกให้แก่บุคคลากรของ ททท. และ บุคคลภายนอก ซึ่งสถานที่มีอยู่แล้วที่ บางแสน จ.ชลบุรี ส่วนเรื่องการตลาด เน้นทำงานเชิงรุก แบบฮาร์ดเซลล์ และซอฟท์เซลล์ ตามความเหมาะสมในแต่ละตลาด ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบต่างๆ ทั้งช่วงเทศกาลและนอกเทศกาล การจัดงานส่งเสริมการขายสินค้าทางการท่องเที่ยว เช่น งานไทยแลนด์แกรนด์เซลล์ งานมหกรรมท่องเที่ยว 4 ภาค เป็นต้น ส่วนงานด้านกีฬา วางแผนงานสร้างสนามกีฬาทุกตำบลในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมประชาชนและเยาวชนให้หันมาให้ความสำคัญกับการเล่นกีฬา
***ทุนสิงคโปร์สนอีลิทขอดูทีโออาร์****
ท้ายสุดนายชุมพลได้กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการบัตรไทยแลนด์อีลิท การ์ด ว่า อยู่ระหว่างรอให้สำนักนายกรัฐมนตรี เสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) แก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง โดยให้ตัดกรรมการที่เป็นตัวแทนจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ออกไป ตามที่หน่วยงานดังกล่าวร้องขอ โดยคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างจะเหลือไว้เพียง ตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ จากนั้นกระบวนการทำงานคือ นำเงื่อนไขการประมูล(ทีโออาร์)ที่ผ่านครม.แล้วมาพิจารณา เพื่อดำเนินการออกประกาศให้แก่เอกชนที่สนใจเข้ามายื่นซองประกวดราคาตามลำดับ
แหล่งข่าวจากวงการท่องเที่ยวเผยว่า ล่าสุดมีกลุ่มทุนจากประเทศสิงคโปร์ ได้ติดต่อผ่านอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ขอรายละเอียดทีโออาร์ เพื่อไปใช้ประกอบการตัดสินเข้าซื้อกิจการอีลิทการ์ด แต่ทั้งนี้หากเป็นต่างชาติที่จะเข้าซื้อกิจการก็ต้องทำตามข้อบังคับการร่วมทุนคือ ต้องจดทะบียนบริษัทในประเทศไทยโดยมีสัดส่วนคนไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 รวมถึงต้องมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการพิจาณารับสมาชิกใหม่ด้วย เพราะการได้สิทธิ์ถือวีซ่านานถึง 5 ปี ของผู้เป็นสมาชิกอีลิทการ์ด ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ