ททท.เตรียมเสนอบอร์ดเบิกใช้งบไทยเข้มแข็ง 500 ล้านบาท วางแผนอัดโฆษณาผ่านสื่อทีวีท้องถิ่นแบบปูพรมทั่วโลก ครั้งแรกในรอบ 10 ปี หวังกู้ภาพลักษณ์ประเทศไทยกลับคืนโดยเร็ว พร้อมควักกระเป๋าอีก 6 ล้านบาท จัดเมกกะแฟมทริป เชิญสื่อต่างประเทศชื่นชมเมืองไทย ลุยต่อยอด 50 ปี ททท. เมืองไทยใครๆก็รัก ย้ำแบรนด์ อะเมซิ่งไทยแลนด์ ด้านผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียจับเทรนด์นักท่องเที่ยวพฤติกรรมเปลี่ยน เตรียมเจาะตลาด FIT เพิ่มมูลค่า
นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)เปิดเผยว่า เตรียมนำแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อใช้กระตุ้นตลาดในต่างประเทศเข้าเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด)การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เพื่อขอความเห็นชอบในสัปดาห์หน้า โดยทั้งหมดเป็นงานที่ใช้งบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็งวงเงิน 500 ล้านบาท ซึ่งสามารถเบิกใช้ได้ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 52
สำหรับแผนงานที่วางไว้ คือการทำตลาดแบบอินมาร์เก็ต โดยใช้สื่อโฆษณาผ่านสถานนีโทรทัศน์ท้องถิ่น เพื่อเจาะตรงถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ได้มากที่สุด โดยจะเลือกออกอากาศในเวลาที่ดีที่สุด(ไพรม์ไทม์)เท่าที่วงเงินที่มีอยู่จะทำได้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่มีการทำตลาดแบบอินมาร์เก็ตเจาะตรงถึงกลุ่มเป้าหมาย
เนื่องจากการตลาดแบบนี้จะใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งททท.ไม่มีงบประมาณมากพอจะทำได้ แต่ต้องยอมรับว่าเป็นการตลาดที่จะเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะตลาดระยะใกล้ภายในภูมิภาคเดียวกัน เช่น จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และจะยิ่งได้ผลดียิ่งขึ้นหากทำควบคู่ไปกับการโฆษณาผ่านสื่อทีวีที่เป็นแมสมาร์เก็ต เช่น สถานีของซีเอ็นเอ็น ซึ่งออกอากาศพร้อมกันในหลายๆประเทศ เหมือนเป็นการตอกย้ำกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวรีบตัดสินใจ
***จัดเมกะแฟมทริปฉลอง 50ปีททท.****
นอกจากนั้น ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ททท ภายใต้แนวคิด “เมืองไทย ใครๆก็รัก” ในแคมเปญ อะเมซิ่งไทยแลนด์ . ล่าสุดเตรียมใช้เงิน 6 ล้านบาท จากงบประจำปี จัดเมกกะแฟมทริป เชิญสื่อมวลชนกว่า 300 คน จากทั่วโลก เน้นที่เป็นแฟนพันธ์แท้ เข้ามาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยกำหนดเดินทางมาในวันที่ 23 มี.ค. 53 นอกจากนั้นตลอดปียังจัดแฟมทริปเชิญบริษัทนำเที่ยวจากต่างประเทศทยอยเข้ามาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยอีกด้วย โดยคาดหวังว่าจากโครงการนี้ จะกู้ภาพลักษณ์ประเทศไทยให้ดีขึ้นโดยเร็วในสายตาของสื่อมวลชน และบริษัทนำเที่ยวซึ่งถือว่ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักท่องเทียวเช่นกัน
“การจัดแฟมทริปครั้งนี้นอกจากพาเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ททท.ยังจัดสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อหวังจะรับทราบข้อคิดเห็นจากผู้ประกอบการและสื่อมวลชนต่างประเทศว่าต้องการสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวแบบใด เน้นการมองแบบคาดการณ์ไปในอนาคต เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่ผู้ประกอบการคนไทยและททท. ได้ใช้ในการจัดทำแผนการตลาด”
ทางด้านนายสรรเสริญ เงารังษี ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการไทยเข้มแข็งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ เม.ย.52 โดยททท.ได้รับจัดสรรงบวงเงิน 500 ล้านบาท สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง เตรียมจัดสรรการใช้งบดังนี้ คือ ตลาดจีน 60 ล้านบาท อินเดีย 35 ล้านบาท ตะวันออกกลาง 35 ล้านบาท ออสเตรเลีย 35 ล้านบาท ญี่ปุ่น 40 ล้านบาท เกาหลี 12 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นส่วนของการทำตลาดในกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกา ซึ่งจะทำในรูปแบบอินมาร์เก็ต ผ่านทีวีท้องถิ่นเช่นกัน
***อัดกิจกรรมเจาะตลาดFIT***
สำหรับแผนการตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกประจำปี 2553 จะเน้นกิจกรรมที่สามารถกระตุ้นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เดินทางด้วยตัวเอง(FIT) ให้มากขึ้น เพราะเห็นแนวโน้มการเติบโตดี จากพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่เริ่มเปลี่ยนไป โดยนิยมที่จะหาข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็วตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป
“นักท่องเที่ยวที่เดินทางเองปัจจุบันเป็นตลาดคุณภาพ มีการใช้จ่ายเฉลี่ย 4,500 บาทต่อคนต่อวัน สูงกว่านักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวรจะใช้จ่ายอยู่4,000 บาทต่อคนต่อวัน โดยชอบที่จะเลือกพักโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป หรือบูติกโฮเทล ชื่นชอบการชอปปิ้ง โดยเดินทางแบบมีไกด์บุ๊คเปนตัวช่วย แม้ตลาดจีนก็มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเช่นกัน”
สัดส่วนนักท่องเที่ยวผ่านกรุ๊ปทัวร์70% เดินทางเอง 30% โดยกลุ่มเดินทางเองเติบโตต่อเนื่อง หากแยกเป็นรายตลาดจะพบว่า ญี่ปุ่น สัดส่วนนักท่องเที่ยว 2 กลุ่มจะเท่ากันคือ 50% ส่วนฮ่องกง กลุ่มFIT มีถึง 60% เพราะไทยเป็นวีคเอ็นเดสติเนชั่น
ล่าสุดตลาดเกาหลีก็เช่นกัน ที่มีแนวโน้มการเดินทางเองสูงขึ้น ล่าสุดได้ร่วมกับการท่องเที่ยวประเทศเกาหลี จัดโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันในรูปแบบทวิภาคี ด้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน สนับสนุนการตลาดร่วมกัน ส่งเสริมการท่องเที่ยวในกลุ่มเยาวชนร่วมกัน แลกเปลี่ยบุคคลากรเพื่อเรียนรู้พฤติกรรมตลาดระหว่างกันรวมถึงความร่วมมืออื่นๆตามเหมาะสม จากความร่วมมือดังกล่าว มองว่าไทยจะได้ประโยชน์ในเรื่องการสร้างฐานนักท่องเที่ยวคุณภาพจากตลาดเกาหลีในกลุ่มเยาวชน และเชื่อมั่นว่าภายในปีนี้ นักท่องเที่ยวจากเกาหลีจะเพิ่มเป็น 9 แสนถึง 1 ล้านคน เท่ากับปี 2551 เพราะปี 2552 เกาหลีเดินทางออกนอกประเทศลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจและการระบาดของโรคไข้หวัด 2009 ผนวกกับการเมืองในประเทศไทยทำให่ตลาดเกาหลี ลดลง กว่า 30% เดินทางมาประเทศไทยเพียง 5.5 แสนคน
ส่วนแผนดึงนักท่องเที่ยวเกาหลีกลุ่ม FIT ททท.ได้จับมือกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ ฮุนไดการ์ด ซึ่งมีสมาชิก 6 ล้านคนเป็นกลุ่มมีกำลังซื้อสูง จัดกิจกรรมโปรโมตการเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย รวมถึงตอกย้ำกลุ่มนีชมาร์เก็ตอื่นๆ เช่น ฮันนีมูล แต่งงาน นำเสนอเดสติเนชั่นใหม่ เช่น เกาะช้าง เกาะกูด เป็นต้น
นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)เปิดเผยว่า เตรียมนำแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อใช้กระตุ้นตลาดในต่างประเทศเข้าเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด)การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เพื่อขอความเห็นชอบในสัปดาห์หน้า โดยทั้งหมดเป็นงานที่ใช้งบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็งวงเงิน 500 ล้านบาท ซึ่งสามารถเบิกใช้ได้ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 52
สำหรับแผนงานที่วางไว้ คือการทำตลาดแบบอินมาร์เก็ต โดยใช้สื่อโฆษณาผ่านสถานนีโทรทัศน์ท้องถิ่น เพื่อเจาะตรงถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ได้มากที่สุด โดยจะเลือกออกอากาศในเวลาที่ดีที่สุด(ไพรม์ไทม์)เท่าที่วงเงินที่มีอยู่จะทำได้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่มีการทำตลาดแบบอินมาร์เก็ตเจาะตรงถึงกลุ่มเป้าหมาย
เนื่องจากการตลาดแบบนี้จะใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งททท.ไม่มีงบประมาณมากพอจะทำได้ แต่ต้องยอมรับว่าเป็นการตลาดที่จะเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะตลาดระยะใกล้ภายในภูมิภาคเดียวกัน เช่น จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และจะยิ่งได้ผลดียิ่งขึ้นหากทำควบคู่ไปกับการโฆษณาผ่านสื่อทีวีที่เป็นแมสมาร์เก็ต เช่น สถานีของซีเอ็นเอ็น ซึ่งออกอากาศพร้อมกันในหลายๆประเทศ เหมือนเป็นการตอกย้ำกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวรีบตัดสินใจ
***จัดเมกะแฟมทริปฉลอง 50ปีททท.****
นอกจากนั้น ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ททท ภายใต้แนวคิด “เมืองไทย ใครๆก็รัก” ในแคมเปญ อะเมซิ่งไทยแลนด์ . ล่าสุดเตรียมใช้เงิน 6 ล้านบาท จากงบประจำปี จัดเมกกะแฟมทริป เชิญสื่อมวลชนกว่า 300 คน จากทั่วโลก เน้นที่เป็นแฟนพันธ์แท้ เข้ามาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยกำหนดเดินทางมาในวันที่ 23 มี.ค. 53 นอกจากนั้นตลอดปียังจัดแฟมทริปเชิญบริษัทนำเที่ยวจากต่างประเทศทยอยเข้ามาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยอีกด้วย โดยคาดหวังว่าจากโครงการนี้ จะกู้ภาพลักษณ์ประเทศไทยให้ดีขึ้นโดยเร็วในสายตาของสื่อมวลชน และบริษัทนำเที่ยวซึ่งถือว่ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักท่องเทียวเช่นกัน
“การจัดแฟมทริปครั้งนี้นอกจากพาเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ททท.ยังจัดสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อหวังจะรับทราบข้อคิดเห็นจากผู้ประกอบการและสื่อมวลชนต่างประเทศว่าต้องการสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวแบบใด เน้นการมองแบบคาดการณ์ไปในอนาคต เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่ผู้ประกอบการคนไทยและททท. ได้ใช้ในการจัดทำแผนการตลาด”
ทางด้านนายสรรเสริญ เงารังษี ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการไทยเข้มแข็งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ เม.ย.52 โดยททท.ได้รับจัดสรรงบวงเงิน 500 ล้านบาท สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง เตรียมจัดสรรการใช้งบดังนี้ คือ ตลาดจีน 60 ล้านบาท อินเดีย 35 ล้านบาท ตะวันออกกลาง 35 ล้านบาท ออสเตรเลีย 35 ล้านบาท ญี่ปุ่น 40 ล้านบาท เกาหลี 12 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นส่วนของการทำตลาดในกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกา ซึ่งจะทำในรูปแบบอินมาร์เก็ต ผ่านทีวีท้องถิ่นเช่นกัน
***อัดกิจกรรมเจาะตลาดFIT***
สำหรับแผนการตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกประจำปี 2553 จะเน้นกิจกรรมที่สามารถกระตุ้นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เดินทางด้วยตัวเอง(FIT) ให้มากขึ้น เพราะเห็นแนวโน้มการเติบโตดี จากพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่เริ่มเปลี่ยนไป โดยนิยมที่จะหาข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็วตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป
“นักท่องเที่ยวที่เดินทางเองปัจจุบันเป็นตลาดคุณภาพ มีการใช้จ่ายเฉลี่ย 4,500 บาทต่อคนต่อวัน สูงกว่านักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวรจะใช้จ่ายอยู่4,000 บาทต่อคนต่อวัน โดยชอบที่จะเลือกพักโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป หรือบูติกโฮเทล ชื่นชอบการชอปปิ้ง โดยเดินทางแบบมีไกด์บุ๊คเปนตัวช่วย แม้ตลาดจีนก็มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเช่นกัน”
สัดส่วนนักท่องเที่ยวผ่านกรุ๊ปทัวร์70% เดินทางเอง 30% โดยกลุ่มเดินทางเองเติบโตต่อเนื่อง หากแยกเป็นรายตลาดจะพบว่า ญี่ปุ่น สัดส่วนนักท่องเที่ยว 2 กลุ่มจะเท่ากันคือ 50% ส่วนฮ่องกง กลุ่มFIT มีถึง 60% เพราะไทยเป็นวีคเอ็นเดสติเนชั่น
ล่าสุดตลาดเกาหลีก็เช่นกัน ที่มีแนวโน้มการเดินทางเองสูงขึ้น ล่าสุดได้ร่วมกับการท่องเที่ยวประเทศเกาหลี จัดโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันในรูปแบบทวิภาคี ด้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน สนับสนุนการตลาดร่วมกัน ส่งเสริมการท่องเที่ยวในกลุ่มเยาวชนร่วมกัน แลกเปลี่ยบุคคลากรเพื่อเรียนรู้พฤติกรรมตลาดระหว่างกันรวมถึงความร่วมมืออื่นๆตามเหมาะสม จากความร่วมมือดังกล่าว มองว่าไทยจะได้ประโยชน์ในเรื่องการสร้างฐานนักท่องเที่ยวคุณภาพจากตลาดเกาหลีในกลุ่มเยาวชน และเชื่อมั่นว่าภายในปีนี้ นักท่องเที่ยวจากเกาหลีจะเพิ่มเป็น 9 แสนถึง 1 ล้านคน เท่ากับปี 2551 เพราะปี 2552 เกาหลีเดินทางออกนอกประเทศลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจและการระบาดของโรคไข้หวัด 2009 ผนวกกับการเมืองในประเทศไทยทำให่ตลาดเกาหลี ลดลง กว่า 30% เดินทางมาประเทศไทยเพียง 5.5 แสนคน
ส่วนแผนดึงนักท่องเที่ยวเกาหลีกลุ่ม FIT ททท.ได้จับมือกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ ฮุนไดการ์ด ซึ่งมีสมาชิก 6 ล้านคนเป็นกลุ่มมีกำลังซื้อสูง จัดกิจกรรมโปรโมตการเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย รวมถึงตอกย้ำกลุ่มนีชมาร์เก็ตอื่นๆ เช่น ฮันนีมูล แต่งงาน นำเสนอเดสติเนชั่นใหม่ เช่น เกาะช้าง เกาะกูด เป็นต้น