"กรณ์" เตรียมแถลงแผนงานปี 53 พร้อมแนวทางปรับโครงสร้างภาษี สัปดาห์หน้า ลั่นก้าวต่อไป คือ การสร้าง ศก.ไทยให้มีความเข้มแข็ง เน้นการปรับโครงสร้าง เสริมสร้างความแข็งแกร่ง ทั้งการเงิน-การคลัง ยันปีที่ผ่านมา เราได้ดับไฟไหม้บ้านสำเร็จแล้ว
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมแถลงสรุปผลการทำงานในรอบปี 2552 ของรัฐมนตรีทั้ง 3 ตำแหน่ง ในสัปดาห์หน้า รวมถึงการแถลงทิศทางและนโยบายการทำงานในปี 2553 ซึ่งจะเน้นการดูแลเศรษฐกิจให้มีความเข้มแข็ง รวมถึงความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ
นายกรณ์ กล่าวว่า การดำเนินนโยบายในช่วงต่อไปของรัฐบาล คือ การดูแลเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง และต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่จะอาจจะย้อนกลับมากระทบการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ดังนั้น จะมีการทบทวนนโยบายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจว่า มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน ทั้งนโยบายการลงทุนภายใต้มาตรการไทยเข้มแข็ง การดำเนินนโยบายผ่านบทบาทของหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
"ก้าวต่อไป ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ และเป็นโอกาสที่รัฐบาลจะให้ความสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ รวมถึงการเสริมสร้างการเงินการคลังให้เข้มแข็ง เราประสบความสำเร็จในการดับไฟไหม้บ้านไปแล้ว ต่อไปคือทำให้เข้มแข็ง และต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจจะหวนกลับมากระทบเศรษฐกิจด้วย"
สำหรับโครงการขายสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ด้วยเครื่องขายสลากอัตโนมัติ (หวยออนไลน์) รมว.คลัง ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีได้ตั้งคณะทำงาน ที่มีนายเกียรติ สิทธิอมร ผู้แทนการค้าไทยเป็นประธาน ศึกษาการดำเนินโครงการใหม่ ดังนั้น คงต้องรอผลการศึกษา ก่อนจะกำหนดแนวนโยบายให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร
"จุดยืนของรัฐบาลยืนยันมาโดยตลอดว่า มีเหตุผลทางสัญญาที่ทำไว้กับเอกชน อาจทำให้ต้องออกหวยออนไลน์ แต่เมื่อพบว่ามีช่องทางกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องออกหวยออนไลน์ ก็ต้องรอดูว่าจะทำอย่างไร"
ส่วนความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ล่าสุดพบว่า ขณะนี้มีประชาชนมาลงทะเบียนเข้ารับความช่วยเหลือในการแก้ไขหนี้นอกระบบรวมกว่า 980,000 ราย เฉลี่ยมูลหนี้รายละ 1 แสนบาท โดยได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ของประชาชนแล้ว ซึ่งจะให้โอกาสแก่ประชาชาชนที่มาลงทะเบียนก่อน 30 ธันวาคม 2552 ที่จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ก่อน
นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ธนาคารที่เกี่ยวข้อง เข้าไปแก้ปัญหาหนี้แก่ประชาชนที่มีวงเงินกู้ต่ำกว่า 50,000 บาท/รายก่อน ซึ่งมีจำนวน 150,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นประชาชนในภาคอีสาน