เจ้าสัวซีพี มองภาพ ศก.ไทยปี 53 หากการเมืองนิ่ง มีโอกาสโตสูงได้ถึง 10% ย้ำแนวคิด 2 สูง ทั้งด้านการขึ้นเงินเดือนในส่วนของการเพิ่มกำลังซื้อ และด้านราคาสินค้าเกษตร ที่จำเป็นต้องพยุงอุปทาน ชี้ชัด "ข้าว-ยาง" แนวโน้มราคาพุ่ง
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวถึงคาดเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยคาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าปีที่แล้ว ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกและราคาสินค้าเกษตรของไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะยางพารา ซึ่งราคาพุ่งขึ้นตามราคาน้ำมัน และข้าวเปลืออกหอมมะลิ ก็มีโอกาสปรับราคาขึ้นถึงกิโลกรัมละ 50 บาท ดังนั้นหากการเมืองนิ่ง ตนเองเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยอาจมีโอกาสเติบโตไปถึง 10%
"หากปีนี้ ถ้าสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่สามารถนิ่งได้ แต่สินค้าเกษตรยังมีราคาดี และสัดส่วนการส่งออกของไทยเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมมา การเติบโตของเศรษฐกิจไทยก็ยังมีโอกาสขยายตัวได้ถึง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน"
ประธานเครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังมองว่า เศรษฐกิจไทยยังไงปีนี้ก็ดีกว่าปีที่แล้ว เพราะราคาสินค้าเกษตรปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ขอให้การเมืองนิ่งเพียงตัวเดียว ประเทศไทยก็จะโตไปได้ถึง 10% แต่ถ้าการเมืองไม่นิ่ง ก็ยังมีภาคส่งออกเข้ามาช่วย
ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ได้เปรียบ เมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ปัจจุบันไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ สูงถึง 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสิ่งที่รับประกันว่าไทยมีเครดิตที่ดี เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตต้มย้ำกุ้งในปี 1997 ที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยหายไปเกือบหมดเกลี้ยง
นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ของไทย ยังมีเงินฝากในระบบสูงถึง 10 ล้านล้านบาท แต่ปล่อยกู้ไปในระบบแค่ 6 ล้านล้านบาท ส่วนที่เหลือยังไม่กล้าปล่อยไปอีก 4 ล้านล้านบาท หากสินค้าเกษตรมีราคาดีขึ้น เชื่อว่า ธนาคารของไทยจะกล้าปล่อยเงินส่วนที่เหลือออกมาให้เกษตรกร
"ผมยังเชื่อในทฤษฎีสองสูงว่า เงินเดือนข้าราชการและราคาสินค้าเกษตร เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องทำให้สูงขึ้นเสมอ เพื่อให้มีกำลังซื้อออกมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผมย้ำว่า แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรในปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการจับจ่ายในต่างจังหวัด ทำให้ยอดขายสินค้าอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในสินค้าข้าว และยางพารา"
ส่วนประเด็นข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อาเซียน-จีน ซึ่งปรับลดภาษีนำเข้าระหว่างกันในอัตรา 0% ในสินค้ากว่า 90% นายธนินท์ กล่าวให้ความคิดเห็นว่า จะสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศไทยในการขายสินค้าให้กับประชากรจีน 1.3 พันล้านคน ส่วนรายการสินค้าที่ไทยอาจจะเสียเปรียบ เป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะต้องเข้ามา พร้อมระบุว่า ทุกอย่างที่มีการเปลี่นยแปลง ย่อมมีความได้เปรียบ และเสียเปรียบ
ประธานเครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังเชื่ออีกว่า นักธุรกิจจีน มีความสนใจเข้ามาลงทุนในไทยภายหลังที่มีข้อตกลงอาเซียน-จีนเกิดขึ้น เนื่องจากภาษีเป็น 0% จีนสามารถมาลงทุนในไทย โดยไม่ต้องเสียภาษี เสมือนการลงทุนในจีน ก่อนที่จะผลิตสินค้ากลับไปขายในจีน ขอเพียงให้การเมืองนิ่ง และรัฐสามารถแก้ปัญหามาบตาพุดได้โดยเร็ว ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลจะต้องแก้ไขได้