xs
xsm
sm
md
lg

เจ้าสัวซีพีแนะอัด2แสนล.เข้าระบบ แทรกแซงสินค้าเกษตรอุ้มรากหญ้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ แนะรัฐบาลใหม่ ใช้ทฤษฎี 2 สูงฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ โดยอัดเงิน 2แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เข้าแทรกแซงสินค้าเกษตร พร้อมปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ สอดรับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ลั่นปีหน้าซีพีรุกธุรกิจต่อ ยันไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ คาดครึ่งหลังปี52 ราคาสินค้าพุ่งหลังน้ำมันดีดขึ้น พร้อมยืนยันซีพีไม่มีเอี่ยว”วีระชัย”นั่งรมต.สำนักนายกฯ ยันสนับสนุนทุกพรรคการเมืองที่สร้างประโยชน์ให้ประเทศ แนะอภิสิทธิ์ ดึงนักวิชาต่างชาติที่มีประสบการณ์มาเป็นที่ปรึกษา

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดเผยว่า รัฐบาลชุดนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีเวลาน้อยต้องเร่งสร้างผลงาน ดังนั้นรัฐบาลควรใช้ทฤษฎีสองสูง เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวน 2 แสนล้านบาทกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเข้าไปแทรกราคาสินค้าเกษตรทุกตัวให้มีราคาสูงขึ้น นับเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ประชาชนระดับรากหญ้ามีรายได้เพิ่มขึ้น และรองรับผู้ที่ตกงานซึ่งจะกลับสู่ภาคเกษตร รวมทั้งเพิ่มเงินเดือนให้แก่ข้าราชการ รวมถึงข้าราชการที่เกษียณอายุแล้ว เพื่อให้มีรายได้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น เมื่อราคาสินค้าเกษตรมีราคาดีขึ้น ก็จะทำให้เกษตรกรมีกำลังใจในการเพิ่มผลผลิตมากขึ้น

ส่วนที่เกรงว่ากระทรวงการคลังจะไม่มีเงินงบประมาณในการอุดหนุนนั้น ไม่จริง รัฐบาลมีเงินมาก โดยการใช้สินค้าเกษตรเป็นตัวค้ำประกันการพิมพ์ธนบัตรแทนทองคำ เนื่องจากสินค้าเกษตรถือเป็นน้ำมันบนดิน มีค่า มีราคา ซึ่งการพิมพ์ธนบัตรออกมาด้วยวิธีนี้ ก็ไม่ทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อตามด้วย เพียงแต่การตีราคาสินค้าเกษตรจะต้องเหมาะสม และมีการลงทุนไซโลเก็บข้าวหรือสินค้าเกษตรที่ดีเพื่อไม่ให้เสียหาย

“ ส่วนเรื่องความแตกแยกที่เกิดขึ้นในสังคมนั้น ตนเห็นว่าสุดท้ายอยู่ที่ปากท้อง อะไรที่ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำดี เราต้องทำดีกว่าอีก เกทับไปเลย อะไรทักษิณ ทำไม่ดี เราก็ยกเลิก เหมือนแมวดำและแมวขาวสามารถจับหนูได้ก็ถือเป็นแมวที่ดี ซึ่งนโยบายช่วยเหลือคนยากจนของรัฐบาลเก่า เป็นเรื่องที่ดี ในยุคทักษิณใช้เงิน 7หมื่นล้านบาทกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านกองทุนหมู่บ้าน รัฐบาลชุดนี้ก็น่าจะใช้เงิน 2แสนล้านบาท เกทับไปเลย โดยเงินอัดตรงเข้าสู่กองทุนหมู่บ้าน เพื่อให้เขาไปคืนหนี้ที่ค้างอยู่ ซึ่งเงินไม่ได้หายไปไหน เพราะอยู่ในระบบ แถมเกษตรกรมีกำลังใจในการสร้างงานด้วย “

สาเหตุที่เกษตรกรไทยยังยากจนอยู่นั้น ไม่ใช่เกิดจากเกษตกรไทยไม่เก่ง แต่เกิดจากการขาดเงินทุน เทคโนโลยี และตลาด หากรัฐเข้ามาช่วยเหลือใน 3 เรื่องนี้ เกษตรกรไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้อย่างแน่นอน
สำหรับทิศทางภาวะเศรษฐกิจในปี 2552 คาดว่าครึ่งปีแรกคงจะลำบาก แต่ในครึ่งปีหลังน่าจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบโลกจะปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 60-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อันจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น

"ผมมีความคิดที่ไม่ค่อยเหมือนใคร มองว่าอะไรที่ลงไปเร็ว ก็ขึ้นมาเร็ว หรืออะไรที่ตกไปมาก ก็ขึ้นมามาก ดังนั้นราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นสูงมาก แต่ขณะนี้ปรับตัวลดลงมาก ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นเชื่อว่ากลางปีหน้าราคาน้ำมันน่าจะขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 60-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นนี้ทำให้ราคาสินค้าปรับขึ้น แต่รัฐเก็บภาษีได้เข้าเป้า แต่ปัจจุบันนี้ราคาสินค้าลง ทำให้รัฐเก็บภาษีได้ไม่เข้าเป้า เกิดปัญหาขาดดุลการค้า ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ โดยประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยน้อยลง ตกงานมากขึ้น และกำลังซื้อลดลง"

อย่างไรก็ตาม ในปีหน้า ซีพียังคงรุกธุรกิจต่อไป โดยไม่ได้รับผลกระทบต่อภาวะวิกฤตเศรษฐกิจนี้ เนื่องจากบริษัทผลิตวัตถุดิบปลอดภัยเพื่อนำมาทำอาหารแปรรูปที่มีมูลค่าเพิ่มเพื่อการส่งออก ภายใต้แบรนด์ซีพี โดยคาดว่าปีหน้าผลการดำเนินงานเครือซีพีในปีหน้ายังขยายตัวอยู่

*** จี้รัฐเก็บสต็อกข้าว1/3ของการบริโภคในปท.

ส่วนกรณีที่รัฐบาลไทยได้เร่งขายข้าวในสต็อกที่มีอยู่ 2 ล้านกว่าตันนั้น เห็นว่าไม่ถูกต้องที่จะเร่งระบายข้าวออกไป เพราะจะเป็นการซ้ำเติมกดราคาข้าวต่ำลง แต่น่าจะมีนโยบายเก็บสต็อกข้าวไว้ 1/3 ของความต้องการบริโภคในประเทศ เพื่อจะช่วยไม่ให้ราคาข้าวตกต่ำ เพิ่มกำลังซื้อให้เกษตรกร ซึ่งปัจจุบันการบริโภคข้าวของโลกรวมปีละ 430 ล้านตัน แต่ไทยมีการส่งออกข้าวไปต่างประเทศ 9 ล้านตัน โดย 5ประเทศส่งออกข้าวหลัก รวมแล้วแค่ 27 ล้านตัน ซึ่งสต็อกข้าวของรัฐบาลที่มีอยู่ 2 ล้านกว่าตัน เปรียบเทียบกับปริมาณความต้องการบริโภคข้าวในประเทศเพียง 10%เท่านั้น

*** ยันซีพีไม่เอี่ยวรมต.วีระชัย

ส่วนกรณีที่นายวีระชัย วีระเมธีกุล อดีตเขยซีพี เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ว่า เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้สนใจมากมาย และเห็นว่าตำแหน่งที่ได้รับก็มีความเหมาะสม เพราะปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีประจำกระทรวง จึงไม่มีโอกาสหาผลประโยชน์เอื้อต่อซีพี ซึ่งนายวีระชัย เป็นผู้ที่มีประสบการณ์หลายปี เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการคลัง และรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่เคยทำงานให้ซีพี ซึ่งตำแหน่งที่ได้รับในคณะรัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ได้เอื้ออะไรให้ซีพี

" เมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามา ตนก็ต้องให้กำลังใจ มองจุดแข็งไม่ใช่หาจุดอ่อนเพื่อโจมตี ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ถือเป็นคนหนุ่มไฟแรง ซึ่งคนไม่มีต้องรับฟังความคิดเป็นจากหลายฝ่ายก่อนตัดสินใจ ซึ่งโลกวันนี้มีคนเก่งอยู่มาก นอกเหนือจากนักวิชาการในไทยแล้ว น่าจะดึงคนที่มีประสบการณ์จากต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาด้วย เชื่อว่าจะทำให้นายอภิสิทธิ์กลายเป็นนายกฯที่เก่ง และมีความรู้ใหม่ ๆ เพราะตัวนายกฯเองก็ไปเรียนหนังสือต่างประเทศ และคลุกคลีในวงการเมืองมานาน เพียงแต่กังวลว่าคนที่เก่ง แต่ไม่ฟังคนอื่น แย่กว่าคนที่ไม่เก่งแต่รับฟังความคิดเห็นคนอื่น ”

นายธนินท์ ยืนยันว่า ที่ผ่านมา ซีพีไม่ได้สนับสนุนพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเป็นพิเศษ แต่พร้อมสนับสนุนทุกพรรคการเมืองที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และเป็นมิตรกับทุกพรรคการเมือง หากซีพีจะไปสนับสนุนใครเป็นพิเศษ สู้ตั้งพรรคการเมืองเองดีกว่า ที่ผ่านมา บริษัทก็ให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองอย่างเปิดเผย
กำลังโหลดความคิดเห็น