xs
xsm
sm
md
lg

กูรูตลาดชี้ปี 53 ศก.ฟื้น จี้รัฐอุ้มบาทอ่อนหนุนส่งออก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บิ๊กบอสธุรกิจภาคเอกชนฟันธงเศรษฐกิจปี 2553 ฟื้น ธุรกิจเริ่มลืมตาอ้าปาก “สหพัฒน์”แนะภาครัฐเร่งมาตรการค่าเงินบาทอ่อน อุ้มเศรษฐกิจโตพรวด การส่งออกคึกคัก เปิดประตูการค้าเสรีอาเซียนไทยแข่งประเทศเพื่อนบ้านฉลุย “ไอ.ซี.ซี.” ระบุเศรษฐกิจโตรูปตัวยู “ตัน-โออิชิ”แนะรัฐให้ความสำคัญการศึกษา สร้างภาคเกษตรแกร่ง - สร้างมูลค่าเพิ่ม เศรษฐกิจไทยสดใส เร่งโครงการเมกะโปรเจกต์ แก้ปมมลพิษมาบตาพุด

นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจประเทศไทยปี 2553 คาดว่าไม่ได้เลวร้าย และเชื่อว่าประเทศไทยในวันพรุ่งนี้ยังสดใส แต่สิ่งที่ภาครัฐต้องเร่งดำเนินการ คือ ลดค่าเงินบาทให้อ่อนเหลือประมาณ 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก อีกทั้งปี 2553 การเขตเปิดเสรีการค้าอาเซียนหรืออาฟต้าจะเริ่มมีผลทำให้ภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆ ทยอยลดลง 0% หรือบางกลุ่มเหลือ 0% แต่หากเงินบาทแข็งค่า 32-33บาทต่อเหรียญสหรัฐ จะทำให้การค้าขายของไทยเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน

หากค่าเงินบาทอ่อน ผลักดันการส่งออกดีขึ้น โดยเฉพาะภาคการเกษตร อุ้มกลุ่มรากหญ้าให้มีรายได้จากการทำไร่ ทำนา เพิ่มขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยต่ำนั้นจะช่วยกระตุ้นการลงทุน ลดต้นทุนการรดำเนินงานของภาคเอกชน เพิ่มรายได้จากภาคท่องเที่ยว รวมทั้งสกัดกั้นไม่ให้มีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท ดังนั้นเครือสหพัฒน์ก็ยังคงย้ำทฤษฎีสองอ่อน คือ ค่าเงินบาทอ่อน และดอกเบี้ยต่ำ

ไอ.ซี.ซี.ชี้เศรษฐกิจโตรูปตัวยู

นายบุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัทไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าเสื้อผ้า เครื่องสำอาง กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2553 ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อเทียบกับปี 2552 หลังจากประเทศไทยเจอมรสุมภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่เพราะโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยดีอยู่แล้ว มีทรัพยากรที่พรั่งพร้อม อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะไม่หวือหวา หรือเติบโตเป็นรูปตัวยูแต่รอยโค้งจะไม่มากนัก ซึ่งในมุมมองของพ่อค้าเราคิดเป็นเรื่องที่ดี โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจคงไม่ฟื้นตัวเป็นรูปตัววี เพราะมองว่าตัววีมันมีรูปทรงที่ลาดชันเกินไป

“ผมว่าสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายปี 2552 ผู้บริโภคเริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น จากยอดขายสินค้าเสื้อผ้า เครื่องสำอางซึ่งจัดว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย มียอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ดังนั้นมั่นใจกำลังการซื้อปี 2553 จะฟื้นตัว โดยพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น”

สำหรับกลุ่มบริษัทไอซีซีในเครือสหพัฒน์ เราเชื่อมั่นว่าปี 2553 ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทย หรือจีดีพี มีอัตราการเติบโต 3.5-4% ตามที่รัฐบาลประกาศไว้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะหากไม่มีเหตุการณ์การเมืองที่รุนแรง แม้ว่านโยบายของภาครัฐ มีบางอย่างก็ทำได้ดี และบางโครงการทำแล้ว ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้หรือว่าหลงทางไปบ้าง แต่ภาพรวมแล้วถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

‘ตัน’โออิชิแนะไทยสร้างภาคเกษตรแกร่ง

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชาเขียวพร้อมดื่มโออิชิ กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจในปี 2553 โดยรวมมีแนวโน้มดีขึ้น เพราะปี 2552 ประเทศไทยผ่านจุดตกต่ำสุด ทั้งจากปัจจัยลบภายนอกประเทศ การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยถดถอย หรือกระทั่งปัจจัยภายในประเทศ เกิดความวุ่นวายการเมือง สำหรับปี 2553 สิ่งที่ภาครัฐต้องเร่งดำเนินการ คือ การเมืองไทยต้องมีสเถียรภาพ และแก้ปัญหาการเกิดมลพิษโครงการมาบตาพุด หากทั้งสองปัจจัยผ่านพ้นไปได้ ก็ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเพิ่มขึ้น

“ผมไม่อยากให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทยหรือจีดีพีเติบโตจากการลงทุนโครงการต่างๆ ของทางภาครัฐ แต่ต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตจากรากฐานของประเทศที่มาจากภาคเกษตรกรรมที่แข็งแกร่ง เพราะการลงทุนจากภาครัฐเป็นเพียงการปูพื้นฐานทางด้านสาธารณะ เปรียบเสมือนเป็นฟันเฟื่องช่วยกระตุ้นการลงทุนจากทางภาคเอกชน สิ่งสำคัญในขณะนี้ต้องการให้ภาครัฐให้ความสำคัญด้านการศึกษา เพื่อสร้างบุคคลากรในประเทศให้มีประสิทธิภาพ รองรับกับโลกการค้าไร้พรมแดน”

นายตันกล่าวว่า ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันด้านการผลิตต้นทุนที่ต่ำได้ต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนคู่แข่งอย่างจีน เวียดนาม และกัมพูชา ดังนั้นเราต้องเน้นการศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของคน เรียนรู้เทคโนโลยี และนำมาพัฒนาสินค้าหรือสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะสินค้าเกษตรแปรรูป นอกจากนี้ต้องการให้ภาครัฐกระตุ้นด้านการส่งออกและการท่องเที่ยว เพราะรายได้ของประเทศมาจากทั้งสองภาคธุรกิจ

สำหรับกำลังซื้อของผู้บริโภคในปี 2553 มองว่า ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2552 หลังจากมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยต่อเนื่อง 2ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2551-2552 อย่างไรก็ตามแม้ว่าแนวโน้มกำลังการซื้อของผู้บริโภคจะเริ่มฟื้นตัว แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลง เพราะการตัดสินใจซื้อสินค้ามีความรอบคอบมากขึ้นให้ความสำคัญการซื้อสินค้าหรูหราลดลง แต่หันมาซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น

ไลอ้อนแก้ปมมาบตาพุดเศรษฐกิจฉลุย

นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ กล่าวถึงทิศทางเศรษฐกิจประเทศไทยปี 2553ว่า มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากภาครัฐมีโครงการเมกะโปรเจกต์ออกมากระตุ้น เพื่อให้ภาคเอกชนเกิดการลงทุน และแก้ไขปัญหาการเกิดมลพิษมาบตาพุด ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ให้เสร็จสิ้น เพราะกระทบต่อแผนการลงทุนของภาคเอกชน

“ผมไม่ห่วงเท่าไรนักสำหรับราคาน้ำมันว่าจะปรับเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน เพราะในช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันผกผันมาอย่างต่อเนื่อง โดยปรับสูงทะลุ 100เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ของเรามีการปรับตัวเน้นการบริหารต้นทุนทั้งจากกระบวนการผลิต ระบบลอจิสติกส์ มาแล้วในระดับหนึ่ง”

สำหรับมุมมองด้านกำลังซื้อผู้บริโภคปี 2553 ในฐานะดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าในชีวิตประจำวันว่า น่าจะดีขึ้น จากในช่วงที่ผ่านมาความต้องการของผู้บริโภคลดลง ซัพพลายล้นตลาด ผมมองว่าที่ผ่านมาทุกประเทศประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเหมือนกันหมด แต่ขณะนี้พบว่าความต้องการของผู้บริโภคเริ่มกลับมา อย่างไรก็ตามจากเศรษฐกิจถดถอยในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ซื้อสินค้าไม่เน้นกักตุนและซื้อเพียงพอต่อการใช้
กำลังโหลดความคิดเห็น