xs
xsm
sm
md
lg

เร่งดันคนไทยอ่านหนังสือ ปี 52 สนพ.ซบเซาตลาดโต 2%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รัฐชู “การอ่าน” เป็นวาระแห่งชาติ ส่งผลดีตลาดหนังสือรับปีเสือคึกคัก คาดโตขึ้นแน่ 4-5% หลังสิ้นปีนี้ สำนักพิมพ์น้อยใหญ่ ผิดหวัง ตลาดซบเซา เติบโตเพียง 1-2% ชี้หนังสือกลุ่มสาระความรู้มีเฮ เหตุห้องสมุดอ้าแขนรับสูง หวังดูดคนไทยอ่านหนังสือมากขึ้น โดยนิยายวัยรุ่น ธรรมะยังติดลมบนรับปี 53

ภาพรวมตลาดหนังสือมูลค่า 18,900 กว่าล้านบาท ในช่วง 1 ปีของปี 2552 กับบทบาทของ สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ถือได้ว่ามีความชัดเจนและมีผลงานเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ เพื่อผลักดันให้ภาครัฐเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอ่าน ตั้งแต่สมัยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จนมาสำเร็จในปีนี้ ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่งแท่นเป็นนายกรัฐมนตรี

ต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้ได้เล็งเห็นความสำคัญของการอ่านอย่างถ่องแท้ และพร้อมแก้ปัญหาแบบยั่งยืน เริ่มตั้งแต่การประกาศให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2552 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังประกาศให้วันที่ 2 เม.ย. ของทุกปี เป็นวันอ่านหนังสือแห่งชาติ ที่สำคัญยังประกาศให้ 2552-2561 เป็นทศวรรษ แห่งการอ่านด้วย โดยการทำงานในเรื่องการอ่านนี้ ทางรัฐบาลยังได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเข้ามาดูแลและวางนโยบายและงบประมาณที่จะต้องให้และดำเนินการต่อไป เพื่อให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติจริงๆตามที่ได้ประกาศออกมา

นางริสรวล อร่ามเจริญ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลอด 1 ปีของปี 2552 หลังจากที่ทางสมาคมฯประสบความสำเร็จ ในการผลักดันให้ภาครัฐเห็นความสำคัญของการอ่าน และประกาศให้ “การอ่าน” เป็นวาระแห่งชาติแล้ว แน่นอนว่าผลของการที่ การอ่านเป็นวาระแห่งชาตินี้ จะเห็นเป็นรูปธรรมในปี 2553 มากยิ่งขึ้น

เริ่มจากในส่วนของภาครัฐนั้น ปี 2553 จะได้เห็นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกไม่ต่ำกว่า 2,000-3,000 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนรักการอ่านมากขึ้น จากสถิติการอ่านของประชาชนคนไทย ต่อปีอ่านหนังสือโดยเฉลี่ยที่ 5 เล่ม จะต้องขยับขึ้นเป็น 10 เล่มใน 3-5 ปี ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป เริ่มจากการอ่านในระบบสาธารณะเป็นอันดับแรก กับการปลูกฝังและเชิญชวนให้ประชาชนเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดมากยิ่งขึ้น ทั้งห้องสมุดทั่วไปและแบบสาธารณะ แน่นอนว่า กลุ่มหนังสือที่มองว่าจะมีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจในปีหน้า และเป็นหนังสือที่ห้องสมุดให้ความสนใจที่จะนำมาให้บริการเพื่อการอ่านเพิ่มนั้น คือ กลุ่มหนังสือประเภทสาระให้ความรู้ ทั้งประวัติศาสตร์ และวิทยาศาตร์ทั่วไป

ส่วนภาคเอกชน หลังจากที่รัฐบาลประกาศให้การอ่านเป็นวารแห่งชาติ ได้สร้างความมั่นใจและทำให้มองเห็นอนาคตของตลาดหนังสือใน 2553 ว่าจะมีการเติบโตได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามในปี 2553 กลุ่มหนังสือที่มีแนวโน้มการเติบโตว่าจะเติบโตขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ยังคงเป็นกลุ่มหนังสือนิยายวัยใส, หนังสือเพื่อเด็กและเยาวชน, การ์ตูนให้ความรู้, ธรรมะ, และปกิณกะในเรื่องต่างๆ ส่วนในแง่ของการลงทุนนั้น เชื่อว่าในปี2553จะมีสำนักพิมพ์ขนาดเล็กที่เป็นรายใหม่ๆ รวมถึงรายเดิมที่ดำเนินธุรกิจอยู่ แต่แตกไลน์เพิ่มสำนักพิมพ์ใหม่ๆเข้าสู่ตลาดค่อนข้างสูง โดยคาดว่าจะเข้ามาจับตลาดหนังสือในกลุ่มที่ห้องสมุดต้องการนั่นเอง

นางริสรวล กล่าวด้วยว่า สำหรับปี 2552 นี้ ภาพรวมตลาดหนังสือถือว่าทรงตัว ในแง่ของผู้ประกอบการเองหรือสำนักพิมพ์ต่างๆต่างมีความรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าที่ควร เพราะตลอดปีที่ผ่าน ส่วนใหญ่จะพยายามรักษายอดขายให้อยู่ได้เท่านั้น ต้องปรับแผนรับมืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งปี 2552 นี้ พบว่ามีสำนักพิมพ์รายเล็กปิดตัวลงไปแล้ว 2-3 ราย ขณะที่สำนักพิมพ์รายใหญ่ๆ หรือบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ก็ทำงานค่อนข้างหนัก เพื่อผลักดันให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าเช่นกัน แต่เชื่อว่าปี2553สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง รวมไปถึงการผลักดันเรื่องการอ่าน จะทำให้ตลาดหนังสือเติบโตได้ดียิ่งขึ้น หรือคาดว่าจะโตขึ้นอีก 4-5% ขณะที่ในปี 2552 นี้ ตลาดหนังสือเติบโตขึ้นเพียง 1-2% คิดเป็นมูลค่าที่ 20,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 2551 ที่ผ่านมา ตลาดหนังสือมีมูลค่าที่ 18,900 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น