ธปท.เตรียมออกมาตรการดูแลค่าธรรมเนียมการใช้ตู้เอทีเอ็ม หลังพบการกระจุกตัวในการวางตำแหน่งตู้ เพราะแบงก์ต้องการรายได้จากค่าธรรมเนียม โดยมีจำนวนตู้เอทีเอ็มเกลื่อนถึง 38,000 เครื่อง เพิ่มขึ้น 19% ขณะที่ปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้นเพียง 7.5% พร้อมหนุนใช้บัตรเดบิตแทนเงินสด อัดแบงก์ไม่ใช่มุ่งแต่จะขยายจำนวนลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบโครงสร้างในตลาดด้วย ชี้ การใช้บัตรเดบิตจะช่วยลดต้นทุน ไม่เป็นภาระต่อผู้ใช้บริการ-ผู้ประกอบการ
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเปิดการสัมมนาระบบการชำระเงินประจำปี 2552 “ก้าวสู่ยุคใหม่การชำระเงิน โอกาสและความท้าทาย” โดยระบุว่า ปัจจุบันการชำระเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ยังมีปริมาณธุรกรรมน้อย ซึ่งต้องมีการสนับสนุนให้ประชาชนใช้บริการการชำระเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการใช้บัตรเดบิต
ทั้งนี้ ผลสำรวจพบว่า ปัจจุบันมีการใช้บัตรเดบิตถึง 29 ล้านใบ แต่สัดส่วนการใช้ถึงร้อยละ 80 เป็นการใช้เพื่อกดเงินสด มีเพียงร้อยละ 3 ใช้สำหรับซื้อสินค้า หรือเฉลี่ยผู้ใช้บัตรเดบิตซื้อสินค้าไม่ถึง 1 ครั้งต่อปี ซึ่งเป็นการใช้ที่ไม่เป็นเต็มศักยภาพ
ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์ควรกระตุ้นให้ลูกค้าใช้บัตรเดบิตเพื่อชำระสินค้าและใช้แทนเงินสดมากขึ้น ไม่ใช่มุ่งแต่จะขยายจำนวนลูกค้าเพียงอย่างเดียว เพราะใช้บัตรเดบิตจะช่วยลดต้นทุน และไม่เป็นภาระต่อผู้ใช้บริการและผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ ธปท.เห็นว่า ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ควรมีการปรับปรุงค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสดต่างธนาคาร เพราะยังมีความไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการกระจุกตัวในการวางตำแหน่งตู้เอทีเอ็ม เพราะแต่ละธนาคารต้องการรายได้จากค่าธรรมเนียม ดังนั้น ธปท.จะมีมาตรการเข้ามาดูแลค่าธรรมเนียมตู้เอทีเอ็มให้เป็นธรรมและเหมาะสมในปี 2553 และกำชับให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งค่าธรรมเนียมที่บริเวณตู้เอทีเอ็มให้ชัดเจน เช่น การเบิกถอนเงินสดต่างธนาคาร และการสอบถามยอดเงินในบัญชี เป็นต้น
“เราพบว่าตู้เอทีเอ็มในปัจจุบันมีมากเกินกว่าปริมาณธุรกรรม โดยพบว่ามีตู้เอทีเอ็มถึง 38,000 เครื่อง เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 19 ขณะที่ปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 และพบว่ามีการวางตู้เอทีเอ็มกระจุกตัว เนื่องจากมีการแข่งขันในการหารายได้จากค่าธรรมเนียม” นางธาริษา กล่าว
