ปตท.พร้อมปิด รง.มาบตาพุด หากลงทุนเพิ่มไปแล้ว แต่การแก้ไขมลพิษไม่ได้ผล พร้อมเรียกร้องให้แก้ รธน. ปี 50 มาตรา 67 วรรค 2 โดยเพิ่มเติมเนื้อหาด้านสิทธิเชิงเนื้อหา เพราะกฎเกณฑ์ด้านการปฏิบัติยังไม่ชัดเจนมากนัก รวมทั้งจะต้องเน้นการเข้าไปมีส่วนร่วมกับภาครัฐของภาคประชาชน ทั้งด้านการบำรุงรักษาสภาพแวดล้อม สุขภาพ การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ตลอดจากการแสดงความคิดเห็นต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
นายชายน้อย เผื่อนโกสุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTTAR กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ "ทางออกมาบตาพุดในมุมมองของค่ายเอกชน" โดยระบุว่า ภาคอุตสาหกรรม พร้อมที่จะดำเนินการตามกฎหมายทุกอย่าง ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการดำเนินการลดมลพิษอยู่แล้ว โดยได้ลงทุนเพิ่ม เพื่อดำเนินการลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะมีการจัดทำผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) การรับฟังความคิดเห็นขององค์กรอิสระและประชาชน เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการพร้อมที่จะปิดโรงงาน หากดำเนินการลงทุนเพิ่มในการลดมลพิษและดูแลสิ่งแวดล้อมไปแล้ว แต่ยังไม่เป็นผล ไม่สามารถลดมลพิษได้ ก็ควรจะปิดโรงงาน แต่สิ่งที่ต้องการขณะนี้ คือ ต้องการให้รัฐบาลออกกฎเกณฑ์และมาตรการตามรัฐธรรมนูญ (รธน.) มาตรา 67 วรรค 2 โดยเร็ว
ด้านนางสาวคนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รธน. ปี 2550 จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขให้เร็วที่สุด โดยเพิ่มเติมเนื้อหาด้านสิทธิเชิงเนื้อหา เพราะกฎเกณฑ์ด้านการปฏิบัติยังไม่ชัดเจนมากนัก รวมทั้งจะต้องเน้นการเข้าไปมีส่วนร่วมกับภาครัฐของภาคประชาชน ทั้งด้านการบำรุงรักษาสภาพแวดล้อม สุขภาพ การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ตลอดจากการแสดงความคิดเห็นต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นการหาทางออกและแก้ปัญหาในระยะยาวในเชิงโครงสร้าง
ส่วนการแก้ปัญหาระยะสั้น จะต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ปฎิบัติ ที่จะหาทางลดผลกระทบ หลังจากศาลปกครองมีคำสั่งระงับ 65 โครงการลงทุนในมาบตาพุดแล้ว