มอร์แกน จ่อรุกตลาดชอปปิ้งชุดชั้นในออนไลน์ผ่านเน็ต สิ้นปีนี้บริษัทแม่ที่ฝรั่งเศส ประเดิมก่อน ส่วนไทยคาดปีหน้าไตรมาสสามเห็นแน่ ยอมรับพิษเศรษฐกิจ ตัดสินใจชะลอเปิดรูปแบบชอป
นางสาวมารินทร์ ลีลานุวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท มอร์แกน เดอ ทัว (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายชุดชั้นใน มอร์แกน เปิดเผยว่า จากนโยบายของบริษัทแม่ที่ฝรั่งเศสต้องการขยายช่องทางจำหน่ายให้เพิ่มขึ้น โดยเข้าหาลูกค้าให้มากที่สุด ตามพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป และการแข่งขันของตลาดที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งบริษัทแม่เตรียมเปิดช่องทางการขายออนไลน์ หรือผ่านเว็บไซต์ในปลายปีนี้
ขณะที่ไทยและในเอเชียจะเริ่มในไตรมาส 3 ปีหน้า ขณะนี้กำลังพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นคอมเมอร์เชียล โดยใช้สิงคโปร์เป็นฐานในการทำตลาดออนไลน์ในเอเชียและไทยด้วย ซึ่งในไทยนั้นจะใช้บริษัท ไทเกอร์ดิสทริบิวชั่น เป็นผู้รับผิดชอบด้านการกระจายสินค้าให้ โดยคาดว่า ภายใน 5 ปีจากนี้ ช่องทางออนไลน์จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สินค้าที่จะจำหน่ายผ่านทางออนไลน์นั้น จะเป็นสินค้ากลุ่มชุดชั้นในและกระเป๋า ขณะที่เสื้อผ้านั้นคาดว่ายังไม่เข้าระบบออนไลน์
แผนธุรกิจในไทย บริษัทจะชะลอการลงทุนเปิดชอปอย่างน้อย 2 ปีจากนี้ เนื่องจากลงทุนสูงกว่า 3-4 ล้านบาทต่อสาขา และเศรษฐกิจไม่ค่อยดีไม่เอื้อต่อการลงทุนด้วย จากปัจจุบันมีชอป 2 แห่ง คือ ที่ เซ็นทรัลเวิลด์ และ ดิ เอ็มโพเรียม แต่ยังเดินหน้าขยายจุดขายแบบคอร์เนอร์ต่อเนื่อง วางแผนว่า ปีหน้าจะเปิดอย่างน้อย 10 จุด ปัจจุบันมี 51 จุดขายตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ซึ่งปีนี้เปิดคอร์เนอร์ไปแล้ว 8 จุด และปลายปีนี้จะเปิดอีกที่เซ็นทรัลขอนแก่น โดยลงทุนรวม 5-6 ล้านบาท
นอกจากนั้น เพิ่มสินค้าในกลุ่มเดิม เช่น ชุดชั้นในสำหรับกลางคืน หรือปาร์ตี้ไลน์ การเพิ่มชุดชั้นในกลุ่มเบสิก เป็นต้น รวมทั้งการปรับภาพลักษณ์จุดขายโดยเฉพาะสาขาชานเมืองให้ทันสมัยมากขึ้น ตอบรับกับแนวโน้มที่การจับจ่ายจะไม่กระจุกตัวอยู่เฉพาะสาขาในเมืองเท่านั้น ตามเทรนด์ทั่วโลก และเตรียมนำเสื้อผ้าแบรนด์ใหม่ คือ แคชแคส เข้ามาจำหน่ายด้วย
นางสาวมารินทร์ กล่าวยอมรับว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อยอดขายรวมของบริษัทในปีนี้อย่างมาก โดยช่วง 10 เดือนแรกนี้ เติบโต 8% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะเติบโต 15% เนื่องจากว่ายอดขายจากจุดขายที่อยู่ในศูนย์การค้าขนาดใหญ่ตกลงกว่า 40% แม้ว่าสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศจะมีเพียง 20% เท่านั้นก็ตาม ส่วนลูกค้าคนไทย 80% แต่เป็นเพราะกำลังซื้อของคนต่างชาติโดยเฉพาะคนจีนและไต้หวันมีมากกว่าโดยเฉลี่ย การซื้อต่อครั้งต่อคน มากกว่าของคนไทยรวมกันถึง 8 คน จากยอดขายเฉลี่ย 20,000 กว่าชิ้นต่อเดือน แต่อย่างไรก็ตามสินค้าบางกลุ่มก็มีการเติบโตมาก เช่น กระเป๋า โตมากกว่า 50% โดยใช้งบการตลาดรวม 15 ล้านบาท
“เศรษฐกิจไม่ดีก็เป็นผลกระทบส่วนหนึ่ง เพราะสินค้าเรามีราคาสูงจับกลุ่มพรีเมียมเฉลี่ยชุดชั้นใน ราคา 800 บาทขึ้นไป ส่วนกางเกงเฉลี่ย 300 บาทขึ้นไป ซึ่งได้ปรับลดราคาลงมาบ้างแล้วเพราะว่าภาษีนำเข้าเสื้อผ้าแฟชั่นสตรีลดลง ขณะที่ชุดชั้นในผลิตในไทย”
สำหรับในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมไว้ที่ 170 ล้านบาท โดยคาดว่ากำลังซื้อโดยรวมในประเทศในช่วงจากนี้จะมากขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยสินค้าหลัก 3 กลุ่มของบริษัทคือ ชุดชั้นในสัดส่วนรายได้ 60% เสื้อผ้าแฟชั่นสตรี 20% และกระเป๋า 20% ส่วนในปี 2553 ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 14%
อย่างไรก็ตาม นางสาวมารินทร์ ยอมรับว่า บริษัทแม่ที่ฝรั่งเศสได้ทยอยยกเลิกการทำตลาดชุดชั้นในในทวีปยุโรปเมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพราะการแข่งขันสูงมากกว่า 50 แบรนด์ ขณะที่ในไทยยังไปได้ดี เพราะว่ามีผู้ประกอบการน้อยเพียง 10 กว่าแบรนด์เท่านั้น
นางสาวมารินทร์ ลีลานุวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท มอร์แกน เดอ ทัว (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายชุดชั้นใน มอร์แกน เปิดเผยว่า จากนโยบายของบริษัทแม่ที่ฝรั่งเศสต้องการขยายช่องทางจำหน่ายให้เพิ่มขึ้น โดยเข้าหาลูกค้าให้มากที่สุด ตามพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป และการแข่งขันของตลาดที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งบริษัทแม่เตรียมเปิดช่องทางการขายออนไลน์ หรือผ่านเว็บไซต์ในปลายปีนี้
ขณะที่ไทยและในเอเชียจะเริ่มในไตรมาส 3 ปีหน้า ขณะนี้กำลังพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นคอมเมอร์เชียล โดยใช้สิงคโปร์เป็นฐานในการทำตลาดออนไลน์ในเอเชียและไทยด้วย ซึ่งในไทยนั้นจะใช้บริษัท ไทเกอร์ดิสทริบิวชั่น เป็นผู้รับผิดชอบด้านการกระจายสินค้าให้ โดยคาดว่า ภายใน 5 ปีจากนี้ ช่องทางออนไลน์จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สินค้าที่จะจำหน่ายผ่านทางออนไลน์นั้น จะเป็นสินค้ากลุ่มชุดชั้นในและกระเป๋า ขณะที่เสื้อผ้านั้นคาดว่ายังไม่เข้าระบบออนไลน์
แผนธุรกิจในไทย บริษัทจะชะลอการลงทุนเปิดชอปอย่างน้อย 2 ปีจากนี้ เนื่องจากลงทุนสูงกว่า 3-4 ล้านบาทต่อสาขา และเศรษฐกิจไม่ค่อยดีไม่เอื้อต่อการลงทุนด้วย จากปัจจุบันมีชอป 2 แห่ง คือ ที่ เซ็นทรัลเวิลด์ และ ดิ เอ็มโพเรียม แต่ยังเดินหน้าขยายจุดขายแบบคอร์เนอร์ต่อเนื่อง วางแผนว่า ปีหน้าจะเปิดอย่างน้อย 10 จุด ปัจจุบันมี 51 จุดขายตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ซึ่งปีนี้เปิดคอร์เนอร์ไปแล้ว 8 จุด และปลายปีนี้จะเปิดอีกที่เซ็นทรัลขอนแก่น โดยลงทุนรวม 5-6 ล้านบาท
นอกจากนั้น เพิ่มสินค้าในกลุ่มเดิม เช่น ชุดชั้นในสำหรับกลางคืน หรือปาร์ตี้ไลน์ การเพิ่มชุดชั้นในกลุ่มเบสิก เป็นต้น รวมทั้งการปรับภาพลักษณ์จุดขายโดยเฉพาะสาขาชานเมืองให้ทันสมัยมากขึ้น ตอบรับกับแนวโน้มที่การจับจ่ายจะไม่กระจุกตัวอยู่เฉพาะสาขาในเมืองเท่านั้น ตามเทรนด์ทั่วโลก และเตรียมนำเสื้อผ้าแบรนด์ใหม่ คือ แคชแคส เข้ามาจำหน่ายด้วย
นางสาวมารินทร์ กล่าวยอมรับว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อยอดขายรวมของบริษัทในปีนี้อย่างมาก โดยช่วง 10 เดือนแรกนี้ เติบโต 8% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะเติบโต 15% เนื่องจากว่ายอดขายจากจุดขายที่อยู่ในศูนย์การค้าขนาดใหญ่ตกลงกว่า 40% แม้ว่าสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศจะมีเพียง 20% เท่านั้นก็ตาม ส่วนลูกค้าคนไทย 80% แต่เป็นเพราะกำลังซื้อของคนต่างชาติโดยเฉพาะคนจีนและไต้หวันมีมากกว่าโดยเฉลี่ย การซื้อต่อครั้งต่อคน มากกว่าของคนไทยรวมกันถึง 8 คน จากยอดขายเฉลี่ย 20,000 กว่าชิ้นต่อเดือน แต่อย่างไรก็ตามสินค้าบางกลุ่มก็มีการเติบโตมาก เช่น กระเป๋า โตมากกว่า 50% โดยใช้งบการตลาดรวม 15 ล้านบาท
“เศรษฐกิจไม่ดีก็เป็นผลกระทบส่วนหนึ่ง เพราะสินค้าเรามีราคาสูงจับกลุ่มพรีเมียมเฉลี่ยชุดชั้นใน ราคา 800 บาทขึ้นไป ส่วนกางเกงเฉลี่ย 300 บาทขึ้นไป ซึ่งได้ปรับลดราคาลงมาบ้างแล้วเพราะว่าภาษีนำเข้าเสื้อผ้าแฟชั่นสตรีลดลง ขณะที่ชุดชั้นในผลิตในไทย”
สำหรับในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมไว้ที่ 170 ล้านบาท โดยคาดว่ากำลังซื้อโดยรวมในประเทศในช่วงจากนี้จะมากขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยสินค้าหลัก 3 กลุ่มของบริษัทคือ ชุดชั้นในสัดส่วนรายได้ 60% เสื้อผ้าแฟชั่นสตรี 20% และกระเป๋า 20% ส่วนในปี 2553 ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 14%
อย่างไรก็ตาม นางสาวมารินทร์ ยอมรับว่า บริษัทแม่ที่ฝรั่งเศสได้ทยอยยกเลิกการทำตลาดชุดชั้นในในทวีปยุโรปเมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพราะการแข่งขันสูงมากกว่า 50 แบรนด์ ขณะที่ในไทยยังไปได้ดี เพราะว่ามีผู้ประกอบการน้อยเพียง 10 กว่าแบรนด์เท่านั้น