ASTVผู้จัดการรายวัน – ไทรอัมพ์ปรับกลยุทธ์ใหม่ ปีหน้าเน้นนำเข้าชุดชั้นในจากโรงงานในเครือโซนอาเซียนรับผลดีอาฟต้าภาษี0% หวังลดต้นทุนนำส่วนต่างมาทำตลาดเต็มที่ ยอมรับยอดขายครึ่งปีแรกโตแค่ 2% เปิดเกมรุกคอลเลคชั่นใหม่ พร้อมงัดแคมเปญวันไพร้ซ 249 บาท มาสู้คู่แข่ง ย้ำแค่ระยะสั้น 3 เดือน ไม่ใช่การดั๊มพ์ราคา
นายจักร เฉลิมชัย ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท ไทรอัมพ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายชุดชั้นในไทรอัมพ์ เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทฯจะปรับแผนธุรกิจ โดยจะปรับเปลี่ยนวิธีการนำเข้าชุดชั้นในไทรอัมพ์จากต่างประเทศเข้ามามากขึ้นจากแหล่งผลิตจากโรงงานในเขตอาเซียนด้วยกันเองของไทรอัมพ์เช่น ที่ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปินส์ เป็นต้น เนื่องจากว่า ในปีหน้าภาษีนำเข้าจากกลุ่มประเทศในอาเซียนนี้จะลดลงเหลือ 0% จากนโยบายของอาฟต้า จากปัจจุบันที่ต้องเสียภาษีนำเข้า 5% ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของบริษัทฯลดลงส่งผลดีต่อการทำตลาดได้เต็มที่
ปัจจุบัน ชุดชั้นในไทรอัมพ์ที่วางจำหน่ายในไทย แบ่งสัดส่วนมาจากการผลิตในโรงงานที่ประเทศไทยจำนวน 40% เท่านั้นเอง และเป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศประมาณ 60% ซึ่งในจำนวนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศนี้มีทั้งที่นำเข้ามาจากประเทศในเขตอาฟต้าด้วยกันแค่ 20% เท่านั้นเอง ส่วนอีก 80% นั้นนำเข้ามาจากกลุ่มประเทศนอกเขตอาฟต้า เช่น จากประเทศอินเดีย โมร็อกโก ศรีลังกา ภาษี 60% เป็นต้น ส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทฯในช่วงที่ผ่านมาสูงมากจากปัญหาด้านภาษี
อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างที่เกิดขึ้นจะทำให้บริษัทฯสามารถนำมาทำตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขายได้เต็มที่ เนื่องจากราคาของบริษัทฯสูงกว่าแบรนด์คู่แข่งในตลาด เพราะเป็นอินเตอร์แบรนด์ ขณะที่ผู้เล่นรายหลักคือ วาโก้ที่เป็นผู้นำตลาด และอีกรายคือซาบีน่าอันดับสามในตลาด ผลิตในไทยเองมีต้นทุนต่ำกว่า แต่ไทรอัมพ์อยู่อันดับที่สองเป็นอินเตอร์แบรนด์ อีกทั้งตลาดรวมเวลานี้ก็แข่งขันกันด้านราคาค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการทำโปร
โมชั่นลดราคา มีมากเช่นส่วนลดไม่ต่ำกว่า 50% แทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาแล้วด้วยซ้ำไป โดยบริษัทฯตั้งงบตลาดรวมทั้งปี 70 ล้านบาท ครึ่งปีแรกใช้ไปแล้ว 40%
ขณะที่ตลาดชุดชั้นในที่มีมูลค่ามากกว่า 12,000 ล้านบาท ก็ไม่ได้เติบโตมากนักจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น คาดว่าปีนี้จะเติบโตเพียง 3-5% อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญของบริษัทฯคือ นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ได้ลดลงไปมากกว่า 50% เพราะปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของไทยช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งผลกระทบจากปัญหาพนักงานโรงงานไทรอัมพ์ประท้วงหยุดการผลิตทำให้มีสินค้าป้อนตลาดไม่เพียงพอ ส่งผลต่อยอดขายบริษัทฯเติบโตแค่ 2% เท่านั้นในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ทำให้บริษัทฯต้องปรับตัวเพื่อประคองยอดขาย
“ภาพรวมของตลาดชุดชั้นในปีนี้ แข่งขันกันรุนแรง โดยเฉพาะในเรื่องของแฟชั่นและนวัตกรรม โดยกลุ่มตลาดระดับกลางถึงบนจะเน้นในเรื่องการออกแบบ ขณะที่กลุ่มตลาดระดับกลางลงล่างจะเน้นเรื่องของราคา ส่วนไทรอัมพ์จะเน้นเรื่องนวัตกรรมและเรื่องของแฟชั่นไม่เน้นแข่งเรื่องราคา” นายจักรกล่าว
นายจักรกล่าวต่อว่า ล่าสุดได้ออกชุดชั้นในคอลเลคชั่นใหม่ชื่อ “ZERO TO SEXY” ราคา 1,390 บาท ผลิตแค่ 150,000 ชุดเท่านั้น โดยใช้งบตลาด 5 ล้านบาท คาดยอดขายคอลเลคชั่นนี้ 100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯได้ใช้กลยุทธ์ ภายใต้แคมเปญ “วันไพร้ซ์” หรือชุดชั้นในราคาเดียว 249 บาท ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ไทรอัมพ์ยอมทำการลดราคาลงมากว่า 50% จากเดิมที่ราคา 400-500 บาทขึ้นไป ยืนยันว่า ไม่ใช่การทำตลอดระยะยาว แต่เป็นการทำแค่ช่วงจังหวะหนึ่ง 3 เดือนเท่านั้นคือเดือนกรกฎาคม-กันยายน เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งแค่เดือนเดียวที่จำหน่ายทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 25% ซึ่งจุดประสงค์ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อวหวังที่จะใช้เป็นตัวดึงดูดให้ลูกค้าตัดสินใจเดินเข้าร้านไทรอัมพ์ง่ายขึ้น ทำให้มีโอกาสในการขายสินค้าตัวอื่นได้ด้วย โดยคาดว่าจะช่วยทำให้ครึ่งปีหลังเติบโต 2 หลัก เพื่อผลักดันให้ทั้งปีไทรอัมพ์เติบโต 5-10%
นอกจากนั้นมีแผนเปิดร้านเมกะสโตร์ตามนโยบายบริษัทแม่ ซึ่งเริ่มทดลองแล้วที่เยอรมันกับญี่ปุ่น ภายใต้คอนเซ็ปท์ “WOMAN HEAVEN” เป้าหมายบริษัทแม่จะให้มีประเทศละ 5-10 สาขา ส่วนไทยคาดว่าจะเปิดปีหน้า พื้นที่ 150-200 ตารางเมตร ลงทุน 20 กว่าล้านบาท เน้นพื้นที่กลางเมือง ปีแรกขยาย 3-5 สาขา เพื่อย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ระดับบน ส่วนช่วงที่ผ่านมาได้ทยอยปิดชอปไทรอัมพ์ไปกว่า 100 แห่ง จากทั้งหมดที่มีอยู่ 350 แห่ง ส่งผลให้ยอดขายโต 5% เพราะต้นทุนลดลง
นายจักร เฉลิมชัย ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท ไทรอัมพ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายชุดชั้นในไทรอัมพ์ เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทฯจะปรับแผนธุรกิจ โดยจะปรับเปลี่ยนวิธีการนำเข้าชุดชั้นในไทรอัมพ์จากต่างประเทศเข้ามามากขึ้นจากแหล่งผลิตจากโรงงานในเขตอาเซียนด้วยกันเองของไทรอัมพ์เช่น ที่ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปินส์ เป็นต้น เนื่องจากว่า ในปีหน้าภาษีนำเข้าจากกลุ่มประเทศในอาเซียนนี้จะลดลงเหลือ 0% จากนโยบายของอาฟต้า จากปัจจุบันที่ต้องเสียภาษีนำเข้า 5% ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของบริษัทฯลดลงส่งผลดีต่อการทำตลาดได้เต็มที่
ปัจจุบัน ชุดชั้นในไทรอัมพ์ที่วางจำหน่ายในไทย แบ่งสัดส่วนมาจากการผลิตในโรงงานที่ประเทศไทยจำนวน 40% เท่านั้นเอง และเป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศประมาณ 60% ซึ่งในจำนวนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศนี้มีทั้งที่นำเข้ามาจากประเทศในเขตอาฟต้าด้วยกันแค่ 20% เท่านั้นเอง ส่วนอีก 80% นั้นนำเข้ามาจากกลุ่มประเทศนอกเขตอาฟต้า เช่น จากประเทศอินเดีย โมร็อกโก ศรีลังกา ภาษี 60% เป็นต้น ส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทฯในช่วงที่ผ่านมาสูงมากจากปัญหาด้านภาษี
อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างที่เกิดขึ้นจะทำให้บริษัทฯสามารถนำมาทำตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขายได้เต็มที่ เนื่องจากราคาของบริษัทฯสูงกว่าแบรนด์คู่แข่งในตลาด เพราะเป็นอินเตอร์แบรนด์ ขณะที่ผู้เล่นรายหลักคือ วาโก้ที่เป็นผู้นำตลาด และอีกรายคือซาบีน่าอันดับสามในตลาด ผลิตในไทยเองมีต้นทุนต่ำกว่า แต่ไทรอัมพ์อยู่อันดับที่สองเป็นอินเตอร์แบรนด์ อีกทั้งตลาดรวมเวลานี้ก็แข่งขันกันด้านราคาค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการทำโปร
โมชั่นลดราคา มีมากเช่นส่วนลดไม่ต่ำกว่า 50% แทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาแล้วด้วยซ้ำไป โดยบริษัทฯตั้งงบตลาดรวมทั้งปี 70 ล้านบาท ครึ่งปีแรกใช้ไปแล้ว 40%
ขณะที่ตลาดชุดชั้นในที่มีมูลค่ามากกว่า 12,000 ล้านบาท ก็ไม่ได้เติบโตมากนักจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น คาดว่าปีนี้จะเติบโตเพียง 3-5% อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญของบริษัทฯคือ นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ได้ลดลงไปมากกว่า 50% เพราะปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของไทยช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งผลกระทบจากปัญหาพนักงานโรงงานไทรอัมพ์ประท้วงหยุดการผลิตทำให้มีสินค้าป้อนตลาดไม่เพียงพอ ส่งผลต่อยอดขายบริษัทฯเติบโตแค่ 2% เท่านั้นในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ทำให้บริษัทฯต้องปรับตัวเพื่อประคองยอดขาย
“ภาพรวมของตลาดชุดชั้นในปีนี้ แข่งขันกันรุนแรง โดยเฉพาะในเรื่องของแฟชั่นและนวัตกรรม โดยกลุ่มตลาดระดับกลางถึงบนจะเน้นในเรื่องการออกแบบ ขณะที่กลุ่มตลาดระดับกลางลงล่างจะเน้นเรื่องของราคา ส่วนไทรอัมพ์จะเน้นเรื่องนวัตกรรมและเรื่องของแฟชั่นไม่เน้นแข่งเรื่องราคา” นายจักรกล่าว
นายจักรกล่าวต่อว่า ล่าสุดได้ออกชุดชั้นในคอลเลคชั่นใหม่ชื่อ “ZERO TO SEXY” ราคา 1,390 บาท ผลิตแค่ 150,000 ชุดเท่านั้น โดยใช้งบตลาด 5 ล้านบาท คาดยอดขายคอลเลคชั่นนี้ 100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯได้ใช้กลยุทธ์ ภายใต้แคมเปญ “วันไพร้ซ์” หรือชุดชั้นในราคาเดียว 249 บาท ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ไทรอัมพ์ยอมทำการลดราคาลงมากว่า 50% จากเดิมที่ราคา 400-500 บาทขึ้นไป ยืนยันว่า ไม่ใช่การทำตลอดระยะยาว แต่เป็นการทำแค่ช่วงจังหวะหนึ่ง 3 เดือนเท่านั้นคือเดือนกรกฎาคม-กันยายน เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งแค่เดือนเดียวที่จำหน่ายทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 25% ซึ่งจุดประสงค์ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อวหวังที่จะใช้เป็นตัวดึงดูดให้ลูกค้าตัดสินใจเดินเข้าร้านไทรอัมพ์ง่ายขึ้น ทำให้มีโอกาสในการขายสินค้าตัวอื่นได้ด้วย โดยคาดว่าจะช่วยทำให้ครึ่งปีหลังเติบโต 2 หลัก เพื่อผลักดันให้ทั้งปีไทรอัมพ์เติบโต 5-10%
นอกจากนั้นมีแผนเปิดร้านเมกะสโตร์ตามนโยบายบริษัทแม่ ซึ่งเริ่มทดลองแล้วที่เยอรมันกับญี่ปุ่น ภายใต้คอนเซ็ปท์ “WOMAN HEAVEN” เป้าหมายบริษัทแม่จะให้มีประเทศละ 5-10 สาขา ส่วนไทยคาดว่าจะเปิดปีหน้า พื้นที่ 150-200 ตารางเมตร ลงทุน 20 กว่าล้านบาท เน้นพื้นที่กลางเมือง ปีแรกขยาย 3-5 สาขา เพื่อย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ระดับบน ส่วนช่วงที่ผ่านมาได้ทยอยปิดชอปไทรอัมพ์ไปกว่า 100 แห่ง จากทั้งหมดที่มีอยู่ 350 แห่ง ส่งผลให้ยอดขายโต 5% เพราะต้นทุนลดลง