“ราศรี บัวเลิศ” อดีตผู้กว้างขวางในวงการค้าอาวุธ เข้าพบรักษาการดีเอสไอ ร้องขอความเป็นธรรมข้อหายักยอกทรัพย์-ตบแต่งบัญชี ทำหนี้เน่าให้ธนาคารกรุงไทย 8,000 ล้าน เจ้าตัวยันบริสุทธิ์!
วานนี้ (22 ต.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ นางราศรี บัวเลิศ ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์และตบแต่งบัญชีของ บริษัท แชลเลนจ์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด เจ้าของโครงการสเตท ทาวเวอร์ พร้อมทนายความเดินทางเข้าพบ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ รักษาการอธิบดีดีเอสไอ เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม กรณีดีเอสไอออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา
นายธาริต กล่าวว่า ได้รับการติดต่อจากนางราศี ตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อแจ้งความประสงค์จะขอเลื่อนการรับทราบข้อกล่าวหาออกไปก่อน พร้อมขอยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ซึ่งเห็นว่าตามกฎหมายเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะดำเนินการได้ หลังจากนี้ ดีเอสไอจะได้พิจารณาว่ารายละเอียดในเอกสารหนังสือขอความเป็นธรรมว่ามีข้อเท็จจริงเพียงใด ก่อนจะนัดวันให้มารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป
ด้าน นางราศรี บัวเลิศ กล่าวเป็นครั้งแรก ว่า ตนยังยืนยันความบริสุทธิ์ และไม่ได้ยักยอกทรัพย์และตบแต่งบัญชีของบริษัท ตามข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 โดย บริษัท แชลเลนจ์ พรอพเพอร์ตี้ ได้กู้เงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB จำนวน 8,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารมูลค่า 10,000 กว่าล้านบาท ซึ่งทางธนาคารกรุงไทยไม่ได้มีปัญหาหรือฟ้องร้องตนแต่อย่างใด
ส่วนการตั้งข้อกล่าวหานั้น พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ข้อมูลจาก นายรังสรรค์ ต่อสุวรรณ อดีตนักธุรกิจและสถาปนิกชื่อดัง ที่พยายามเข้ามาหาประโยชน์ในกรณีดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงและทำให้ตนได้รับความเสียหาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีดังกล่าว สืบเนื่องจากคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 มี.ค.2549 ให้ดีเอสไอสอบสวนกรณีอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) อนุมัติสินเชื่อในการก่อสร้างอาคารให้กับบริษัท แชลเลนจ์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ก่อให้เกิดความเสียหาย เป็นหนี้เสียจำนวน 8 ,000 ล้านบาท จากการสอบสวนผู้บริหารธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ระบุว่า กระทำผิดดังกล่าว โดยมี นางราศรี บัวเลิศ เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ดีเอสไอจึงได้ส่งสำนวนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณา ต่อมาคณะพนักงานสอบสวนและอัยการร่วมสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้ว มีความเห็นร่วมกันว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอ น่าเชื่อว่า นางราศรี บัวเลิศ มีพฤติการณ์ยักยอกทรัพย์และตบแต่งบัญชีของบริษัท เพื่อทำให้งบการเงินของบริษัทดูดีขึ้น เห็นควรดำเนินคดีกับ นางสาวราศรี บัวเลิศ ตามข้อกล่าวหาและอกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา
อนึ่ง ก่อนที่นางราศรี จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความสนิทสนมกับกองทัพ ซึ่งโครงการสเตท ทาวเวอร์ นางราศรี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท แชลเลนจ์ กรุ๊ป มีทุนจดทะเบียน 2,400 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 12,000 ล้านบาท เดิมเจ้าหนี้คือ ธนาคารกรุงไทย (KTB) มีมูลหนี้ประมาณ 8,300 ล้านบาท หากรวมดอกเบี้ยค้างชำระเข้าไปจะมีมูลหนี้ 9,000 กว่าล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมามีการปรับโครงสร้างหนี้แล้วหลายครั้ง แต่ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ ต่อมาธนาคารกรุงไทย จึงได้ขายหนี้ก้อนนี้ให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) โดยให้การสนับสนุนเงินกู้คิดอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 1 ปี ระยะเวลาในการผ่อนชำระ 8 ปี ก่อนมาควบรวมกับ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.)
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว เป็นอาคารสูง 68 ชั้น และชั้นใต้ดินอีก 6 ชั้น มีพื้นที่รวม 3.3 แสนตารางเมตร (ตร.ม.) จำนวน 1,700 ยูนิต แบ่งเป็นส่วนของศูนย์การค้า 90 ยูนิต และส่วนของคอนโดมิเนียม 650 ยูนิต รวมถึงส่วนของโรงแรม
วานนี้ (22 ต.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ นางราศรี บัวเลิศ ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์และตบแต่งบัญชีของ บริษัท แชลเลนจ์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด เจ้าของโครงการสเตท ทาวเวอร์ พร้อมทนายความเดินทางเข้าพบ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ รักษาการอธิบดีดีเอสไอ เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม กรณีดีเอสไอออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา
นายธาริต กล่าวว่า ได้รับการติดต่อจากนางราศี ตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อแจ้งความประสงค์จะขอเลื่อนการรับทราบข้อกล่าวหาออกไปก่อน พร้อมขอยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ซึ่งเห็นว่าตามกฎหมายเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะดำเนินการได้ หลังจากนี้ ดีเอสไอจะได้พิจารณาว่ารายละเอียดในเอกสารหนังสือขอความเป็นธรรมว่ามีข้อเท็จจริงเพียงใด ก่อนจะนัดวันให้มารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป
ด้าน นางราศรี บัวเลิศ กล่าวเป็นครั้งแรก ว่า ตนยังยืนยันความบริสุทธิ์ และไม่ได้ยักยอกทรัพย์และตบแต่งบัญชีของบริษัท ตามข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 โดย บริษัท แชลเลนจ์ พรอพเพอร์ตี้ ได้กู้เงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB จำนวน 8,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารมูลค่า 10,000 กว่าล้านบาท ซึ่งทางธนาคารกรุงไทยไม่ได้มีปัญหาหรือฟ้องร้องตนแต่อย่างใด
ส่วนการตั้งข้อกล่าวหานั้น พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ข้อมูลจาก นายรังสรรค์ ต่อสุวรรณ อดีตนักธุรกิจและสถาปนิกชื่อดัง ที่พยายามเข้ามาหาประโยชน์ในกรณีดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงและทำให้ตนได้รับความเสียหาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีดังกล่าว สืบเนื่องจากคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 มี.ค.2549 ให้ดีเอสไอสอบสวนกรณีอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) อนุมัติสินเชื่อในการก่อสร้างอาคารให้กับบริษัท แชลเลนจ์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ก่อให้เกิดความเสียหาย เป็นหนี้เสียจำนวน 8 ,000 ล้านบาท จากการสอบสวนผู้บริหารธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ระบุว่า กระทำผิดดังกล่าว โดยมี นางราศรี บัวเลิศ เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ดีเอสไอจึงได้ส่งสำนวนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณา ต่อมาคณะพนักงานสอบสวนและอัยการร่วมสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้ว มีความเห็นร่วมกันว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอ น่าเชื่อว่า นางราศรี บัวเลิศ มีพฤติการณ์ยักยอกทรัพย์และตบแต่งบัญชีของบริษัท เพื่อทำให้งบการเงินของบริษัทดูดีขึ้น เห็นควรดำเนินคดีกับ นางสาวราศรี บัวเลิศ ตามข้อกล่าวหาและอกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา
อนึ่ง ก่อนที่นางราศรี จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความสนิทสนมกับกองทัพ ซึ่งโครงการสเตท ทาวเวอร์ นางราศรี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท แชลเลนจ์ กรุ๊ป มีทุนจดทะเบียน 2,400 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 12,000 ล้านบาท เดิมเจ้าหนี้คือ ธนาคารกรุงไทย (KTB) มีมูลหนี้ประมาณ 8,300 ล้านบาท หากรวมดอกเบี้ยค้างชำระเข้าไปจะมีมูลหนี้ 9,000 กว่าล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมามีการปรับโครงสร้างหนี้แล้วหลายครั้ง แต่ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ ต่อมาธนาคารกรุงไทย จึงได้ขายหนี้ก้อนนี้ให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) โดยให้การสนับสนุนเงินกู้คิดอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 1 ปี ระยะเวลาในการผ่อนชำระ 8 ปี ก่อนมาควบรวมกับ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.)
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว เป็นอาคารสูง 68 ชั้น และชั้นใต้ดินอีก 6 ชั้น มีพื้นที่รวม 3.3 แสนตารางเมตร (ตร.ม.) จำนวน 1,700 ยูนิต แบ่งเป็นส่วนของศูนย์การค้า 90 ยูนิต และส่วนของคอนโดมิเนียม 650 ยูนิต รวมถึงส่วนของโรงแรม