xs
xsm
sm
md
lg

ช่องว่างระหว่างลูกหนี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คนจนไม่หนีหนี้ เพราะยึดมั่นในคำสัญญา เป็นหนี้ก็ต้องใช้คืน เว้นเสียแต่ว่า สุดวิสัย หมดหนทางหาเงินมาชำระเจ้าหนี้จริงๆ

ลูกหนี้แบบนี้ มักจะถูกเจ้าหนี้ไล่บี้ ทวงทั้งต้นทั้งดอก ไม่มีผ่อนปรน เพราะเห็นว่า ไม่มีทางสู้ ไม่รู้กฎหมาย ยอมจำนนสถานเดียว

คนมีชื่อเสียง มีอิทธิพล มีสายสัมพันธ์ และมีเงิน มักจะมีทางหนีทีไล่ในการ หลีกเลี่ยงการชำระหนี้

ลูกหนี้แบบนี้ มักจะได้รับความเอื้ออาทรจากเจ้าหนี้ ผ่อนปรน หาทางช่วยเหลืออย่างเต็มที่

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา จ่าเอกอำนาจ ลูกจันทร์ หรือเป้า คาราบาว อดีตมือกลองวงดนตรี คาราบาว และภรรยา นางพึงพิศ ลูกจันทร์ ถูกธนาคารกรุงเทพ ฟ้องล้มละลาย เพราะเป็นหนี้แบงก์

เป้า คาราบาว ไม่มีเจตนาที่จะเบี้ยวหนี้ แต่เพราะขาดทุนจากธุรกิจร้านอาหาร จึงไม่มีเงินมาชำระหนี้ ที่กู้มาซื้อบ้านได้ ธนาคารกรุงเทพ จึงฟ้องศาลแพ่ง ให้เขาและภรรยา ชำระหนี้ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2544 ศาลแพ่งพิพากษาว่า ให้จำเลยทั้งสอง ชดใช้เงินจำนวน 2.2 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 14.5 ต่อปี ของจำนวนเงินต้น1.6 ล้านบาท นับจากวันยื่นฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์ ที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เพื่อขายทอดตลาด หากทรัพย์ไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่น บังคับชำระให้ครบ

ปรากฏว่า เป้า คาราบาว ไม่มีปัญญาชำระหนี้ ธนาคารกรุงเทพจึงยึดบ้านและที่ดิน ไปขายทอดตลาด ได้เงินมา1.5 ล้านบาท ยังขาดอีก 1.4 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยร้อยละ 14.5 ในระยะเวลา 5 ปี 221 วัน คิดเป็นดอกเบี้ย 1.3 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 2.75 ล้านบาท

เป้า คาราบาวคิดว่า ธนาคารยึดบ้านไปแล้ว เรื่องก็น่าจะจบ แต่ปรากฏว่า เสียบ้านไปแล้ว ยังเป็นหนี้มากกว่าเดิมด้วย เพราะแบงก์กรุงเทพ ต้องการเงินคืนทุกบาททุกสตางค์ บวกกำไรคือ ดอกเบี้ย ที่คิดทุกวันด้วย จึงยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลาย ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และให้เป้า กับภรรยาเป็นบุคคลล้มละลาย

เรียกว่า ไล่บี้กันจนหยดสุดท้าย ไม่สนใจที่จะเป็น “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” กันแล้ว สนใจเงินมากกว่า ถ้าศาลพิพากษาให้สองคนนี้เป็นคนล้มละลาย นอกจากจะไม่สามารถทำนิติกรรมใดๆได้แล้ว หากแบงก์กรุ
งเทพ รู้ว่า เป้าและภรรยามีรายได้จากไหน ก็จะตามไปยึดมาได้

พฤติกรรมของธนาคารกรุงเทพแบบนี้ เป็นไปตามข้อกฎหมาย ไม่ผิด แต่ไม่ถูกต้อง ในเชิงจริยธรรม ศาลล้มละลายเองยังเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายยังมีหนทางเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้ จึงมีคำสั่งเลื่อนนัดพร้อมคุ๋ความออกไปเป็นกลางปีหน้า

ในวันเดียวกับที่ เป้า คาราบาว นั่งรถเข็นไปขึ้นศาล ราศรี บัวเลิศ อดีตแม่ค้าอาวุธ และเจ้าของตึกสเตท ทาวเวอร์ ได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อ ธาริต เพ็งดิษฐ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในเรื่องที่เธอถูกกล่าวหาว่า ยักยอกทรัพย์ และตกแต่งบัญชีของบริษัทแชลเลนจ์ พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นบริษัทของตัวเอง ที่ดำเนินโครงการสเตท ทาวเวอร์

ราศรีกู้เงิน 8,000 ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย เพื่อนำไปสร้างตึกสเตททาวเวอร์ กู้ไปแล้ว ไม่มีการชำระคืนทั้งต้นทั้งดอก กลายเป็นหนี้เสีย ทำให้ธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐเสียหาย ดีเอสไอ จึงเข้ามาทำคดีนี้ และพบว่า ผู้บริหารธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทำความผิด โดยราศีถูกกล่าวหาด้วยว่า เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ด้วยการแต่งบัญชีของบริษัท ซึ่งเป็นลูกหนี้ของธนาคาร

หนี้ เงินต้น 8,000 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยค้างชำระอีก 1,000 ล้านบาท ผ่านการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้มาแล้ว หลายครั้ง แต่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ จนธนาคารกรุงไทยขายหนี้ให้กับ บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน หรือ บบส. ซึ่งต่อมาได้ควบรวมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด หรือ บสก. ราศียังคงบริหารโครงการต่อไป และลูกสาวของเธอ เปิดร้านอาหารสุดหรู อยู่บนดาดฟ้าของตึก

ความเอื้ออาทรที่เจ้าหนี้ มีให้กับราศรี ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็นกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ธรรมดา มองในมุมของเจ้าหนี้ ให้โครงการดำเนินต่อไป มีรายได้มาชำระหนี้ ยังดีกว่าปล่อยให้ล้มไปเฉยๆ มองในมุมของลูกหนี้ ก็เป็นเพียงการเปลี่ยนเจ้าหนี้เท่านั้น ในทางปฏิบัติ ราศีก็ยังเป็นเจ้าของโครงการอยู่

ช่องว่าง ระหว่างหนี้ 2.2 ล้านบาทของเป้า คาราบาว กับ 8,000 ล้านบาท ของราศี บัวเลิศ ช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน
กำลังโหลดความคิดเห็น